หลวงพ่อเสือ

ปฐมวัย

หลวงพ่อเสือ เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ ที่ จ. ชลบุรี    โยมบิดา ชื่อ นายแสวง     โยมมารดาชื่อ นางลำเจียก

ด้วยบารมีที่ได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ ทำให้หลวงพ่อเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันตั้งแต่เด็ก เมื่อได้มีโอกาสติดตามพ่อแม่ไปวัดตอน๕ - ๖ ขวบ และได้ฝึกหัดทำสมาธิ จึงได้รับรู้ถึงความสงบสุขอันเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิ

อายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดหลวง จ.ชลบุรี และได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ออกธุดงค์ หลังจากนั้น ๗ วัน ท่านจึงแยกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ตามลำพัง
ในปีต่อมาหลวงพ่อได้ธุดงค์ไปสกลนคร พระอาจารย์ที่นั่นได้แนะนำให้เดินทางไปพม่า ซึ่งเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงเริ่มออกเดินทาง ผ่านอุดรธานี ไปจนถึงพม่า อาศัยพักอยู่ที่วัดโชติการาม โดยมี พระอาจารย์โชติกะธรรมจริยะ คอยแนะนำ และให้ความสะดวกตลอดเวลา ๖ เดือน

เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านก็ธุดงค์กลับไปที่พม่าอีกครั้งหนึ่ง โดยพักอยู่ที่วัดซันคยองวิหาร ถึง ๒ ปี ณ ที่นี้หลวงพ่อได้พบกับ ท่านเลดี สย่าดอ มหาเถระ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นผู้คอยแนะแนวทางการปฏิบัติธรรม การศึกษาพระไตรปิฏกให้

....หลังจากนั้นหลวงพ่อยังได้เดินทางไปที่ลังกา ได้พบและศึกษากับ ท่านญาณโปนิกมหาเถระ

 

----------------------------------------------------------------------------------------

มัชฌิมวัย

กลับจากลังกาแล้ว หลวงพ่อได้พักปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเชียงดาว ๓ ปีเศษ
ต่อจากนั้นได้มาพักอยู่ที่หมู่บ้านชาวเขา บนดอยปุย สอนธรรมะ และรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับชาวเขา เป็นเวลาถึง ๙ ปี จึงเดินทางกลับมาบ้านเกิด ที่ชลบุรี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะมาช่วยเหลือชาวบ้านทั้งการให้ธรรมะ และช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ ๔๕ ปี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแถบจังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา

ต่อมามีชาวบ้าน ต.สิบเอ็ดศอก อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร่วมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ และนิมนต์ให้ท่านอาศัยอยู่ จนในที่สุดสร้างเป็นวัดขึ้น ให้ชื่อว่า “วัดไผ่สามกอ” ตามสัญญลักษณ์ที่มีต้นไผ่เหลืองที่ขึ้นอยู่ ๓ กอ หน้ากุฏิของท่านที่ชาวบ้านปลูกถวายนั่นเอง

มีเรื่องเล่าว่า…
หลวงพ่อไม่เคยสรงน้ำเลย แต่ทุกวันเวลาท่านอยู่ในห้องผู้ที่อยู่ใกล้เคียงจะได้ยินเสียน้ำเหมือนไหลจากฝักบัว และร่างกายของหลวงพ่อก็เปียกเอง ทั้งยังมีกลิ่นหอมเหมือนดอกลำเจียก
เมื่อถึงวันเกิดของท่าน ผู้คนจะหลั่งไหลมาสรงน้ำท่าน เวลาท่านเดินลงจากกุฏิ ฝนจะตกลงมาพอดีทุกครั้ง ท่านจึงได้ฉายาว่า “พระวิรุฬหผล”

เมื่อตอนอายุได้ ๕๕ ปี ท่านได้ธุดงค์ไปประเทศลังกาเป็นเวลานาน เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาในรายละเอียดเพิ่ม

 

-------------------------------------------------------------------------------------

ปัจฉิมวัย

ก่อนมรณภาพ หลวงพ่อรู้ล่วงหน้า ท่านจึงได้เตรียมตัวพร้อม โดยเรียกลูกศิษย์มาถ่ายรูปของท่านไว้ ให้ทำความสะอาดศาลา และเรียกมาประชุมฟังธรรม

หลังจากนั้นท่านก็เริ่มป่วย มีไข้ทวีขึ้นทั้งวันทั้งคืน
เมื่อถึงวันโกนท่านก็ลุกขึ้นจากที่นอน สั่งให่ช่วยกันปลงผม ซึ่งชาวบ้านก็พูดเตือนว่าคนเป็นไข้เขาห้ามตัดผล แต่ท่านก็พูดให้คติว่า
“คนเราถ้าถึงเวลาตายแล้ว ถึงจะปล่อยให้ผมยาวเพียงไหน ชีวิตก็ยาวต่อไปไม่ได้”

ก่อนมรณภาพ ๔ วัน หลวงพ่อได้สั่งว่า ท่านจะทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาอยู่ในห้อง ๔ วัน ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน ครั้นครบ ๔ วันตามที่ท่านสั่งแล้ว ลูกศิษย์ (คือ หลวงตาเผย) ได้เคาะประตูห้อง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ลูกศิษย์จึงเข้าไปดู พบว่า หลวงพ่อครองผ้าไตรจีวรครบถ้วนเหมือนเวลาที่มีพิธีกรรมทางศาสนา มีตาลปัตรตั้งไว้ด้านขวา
มีข้อความเขียนไว้ที่ผ้าสังฆาฏิว่า “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”
ท่านนอนตะแคงขวาเหมือนหลับ สีหน้าสงบ ปราศจากความเศร้าหมอง ทุกคนก็ทราบทันทีว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว


วันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘

 

-------------------------------------------------------------------


ด้วยรัก….จากพ่อ ๑


ไม่มีใครทำเรา เราทำของเรามาเอง
ผลของกรรม ส่งผลทางรูปธรรมหนักมาก
เมื่อกรรมนั้นเบาบางลง ก็ส่งผลมาทางด้านของใจ

ฉะนั้นไม่มีใครจะช่วยเราได้ ตนย่อมเป็นที่พึ่งของตน
ด้วยการยอมรับว่า มันมาจากเหตุอย่างนั้น
และมีหน้าที่รักษาใจไม่ให้ใฝ่ต่ำ ประคองใจอย่างเดียว
เราหนีกรรมในอดีตไม่พ้น คือ วิบาก
แต่เมื่อรู้แล้ว โอกาสที่จะประคองใจว่า มันเป็นผลของกรรมที่เราทำมาเอง
เราก็ประคองใจ ไม่ให้เอาผลของบาปนั้นมาเติมเชื้อให้เราสร้างบาปใหม่
ประคองใจ หรือคุ้มครองใจไว้ว่า อันนี้มันคือวิบาก เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประคองใจไว้ รักษาใจไว้ เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะช่วยได้ ไม่มีใครช่วยลูกได้
วิธีนี้ ถ้าเผื่อไม่รู้จัก …….ลูกก็บาปต่อ
กรรมวัฏ กิเลสวัฏ วิบากวัฏ ก็จะร้อยรัดลูกอยู่นั่นเอง

 

---------------------------------------------------------------------------------------

 

ด้วยรัก….จากพ่อ ๒

 

เมื่อต้องทำงานทางโลก จงสอนใจตนเองไว้ว่า
“เราหลีกเลี่ยงอะไร เลี่ยงได้
แต่หลีกเลี่ยงกรรมที่ทำมาไม่ได้”


และการกระทำของเรานั้น ให้สืบเนื่องด้วยความดีงามตลอดเวลา
เมื่อมีการกระทำใดๆ ที่มีเจตนาอันแรงกล้า
ที่ทำให้เกิดปีติจากการเสียสละ เสียสละประโยชน์สุขส่วนตน
หรือการเสียสละความรู้สึก และอารมณ์ต่างๆ
ให้อธิษฐานว่า

กิจการงานทางโลกที่ข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าเผชิญอยู่นี้
ข้าพเจ้าพอจะหยั่งรู้ได้บ้างแล้วว่า เป็นทุกข์ยิ่งนักสำหรับชีวิต
และการพัวพัน พันธนาการอยู่ในงานทางโลกนี้ รั้งแต่ความเศร้าหมองให้กับจิต
ข้าพเจ้ามีความปรารถนาที่จะเดินตามทางมรรคอันมีองค์แปด
จะประคองกาย วาจา ใจ อยู่ในความสงบอันถูกต้องแห่งสติ แห่งปัญญา
ขอการเจตนาแห่งการเสียสละที่ข้าพเจ้าได้กระทำมานั้น จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าพ้นจากภาระวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างนี้โดยไว
และในภพชาติต่อไป ขอให้ห่างไกลออกไป จนสามารถเดินอยู่บนหนทางมรรค ผล นิพพาน ได้โดย

 

------------------------------------------------------------------------

 

สิ่งที่พ่อต้องการ

…วันนี้มีชีวิต ขณะนี้มีชีวิต จงคิดแต่การสร้างสรรค์คุณงามความดีให้เกิด

.....โอกาสที่จะเดินต่อไป
จงเดินนำชีวิต ทั้งทางกาย วาจา ใจ ของเราไปด้วยบุญ
จงมีการดำริอันถูกต้อง ที่จะไม่ข้องอยู่กับกิเลส
รีบหัดปฏิเสธเรื่องอันวุ่นวาย ที่ไม่ใช่กิจ
และคิดสร้างสรรค์ทางมรรคผลให้กับตนเอง

ด้วยการเริ่มต้นทุกวัน แล้วคิดว่าเราเริ่มต้นได้แล้ว
แต่ถ้าคิดว่าได้แล้ว...ไม่ทำต่อ เท่ากับทิ้งไปแล้ว
...ฉะนั้นหน้าที่ของเรา เมื่อมีเวลา เริ่มต้นงานที่ประเสริฐกัน ทำไว้สม่ำเสมอ

พลานุภาพใดที่เป็นสิ่งที่มีแรงอำนาจอันสามารถช่วยเปลี่ยนวิถีทางแห่งความดีต่างๆ ให้ดำรงอยู่ ปลีกจากความชั่วออกให้ได้....

พลานุภาพใดอันเกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลพิภพนี้
อำนาจอันเกื้อกูลขององค์พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อันเป็นที่พึ่งสรณะอันเอกของเราพุทธศาสนิกชน
… จงคุ้มครองลูกของพ่อทุกคน ที่พ่อคิดว่าเป็นลูกในอุทร ซึ่งจะต้องดูแลและเกื้อหนุน ค้ำจุนตลอดไป

แม้โอกาสสนทนาเช่นนี้จะมีน้อยมาก เพราะภาระของแต่ละคน พร้อมทั้งพ่อด้วย
...เราต่างตั้งมั่นจะสร้างสรรค์ประโยชน์อันเกื้อกูลอยู่แล้ว .....โอกาสเช่นนี้มีแน่ แต่ระหว่างที่ยังมาไม่ถึง ลูกจง

 

---------------------------------------------------------------------------------------------

 

พ่ออยู่ใกล้ลูกตลอดเวลา ไม่เคยทิ้ง แต่ลูกจงอย่าทิ้งคำสอนของพ่อ

ขอให้ลูกทุกคนบรรลุธรรมอันเป็นเครื่องรู้ …เป็นลูกที่ประเสริฐ …เป็นลูกที่สืบทอดทายาทพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขอให้ลูกของพ่อทุกคน เป็นผู้บุกเบิกทางชีวิตของตนเองได้...... คือทางที่ตรงต่อ มรรค ผล นิพพาน

ขอให้ลูกทุกคนเป็นผู้มีขันติ
อดทน อดกลั้น ต่อความยากลำบาก
อดทนต่อสิ่งที่มากระทบ
อดทนต่ออารมณ์ทุกสิ่งทุกอย่างได้ สมเจตนาที่พ่อต้องการ  นั่นคือ.....
พ่อต้องการให้ลูกของพ่อทุกคนเป็น “พระอรหันต์”

ไม่ต้องการให้เป็นอย่างอื่น และขอให้เป็นได้โดยไวทุกๆ คน

อย่าลืม....หน้าที่ของลูก เมื่อมีเวลา จงเริ่มต้นงานที่ประเสริฐ คือ งานสร้างสรรค์ทางมรรคผล


และจงอย่าลืมว่า..... ความปรารถนาของพ่ออย่างที่สุด คือ ลูกของพ่อทุกคนเป็น.... “พระอรหันต์”

 

Home ::: Back
 

-------------------------------------------------------------------------------------------

ขอขอบคุณข้อมูลจาก อจ.วยุรี สุวรรณอินทร์