หมวดที่  ๕

        มรณุปปตติจตุกก

 

มรณา              หมายถึง         ความตาย

                                อุปปตติ          หมายถึง         การเกิดขึ้น

                        จตุกกัก           หมายถึง         จตุกก มี  ๔  อย่าง

            เมื่อรวมแล้ว  มรณุปปตติจตุกก     แปลว่า  ความเกิดขึ้นแห่งความตายมี  ๔  ประการ

            หรือหมายความว่า  เหตุที่ทำให้ความตายปรากฏขึ้น มี  ๔ ประการ  คือ

                        .     อายุกขยมรณะ              ได้แก่              ตายเพราะสิ้นอายุ

                        .     กัมมักขยมรณะ           ได้แก่              ตายเพราะสิ้นกรรม

                        .     อุภยักขยมรณะ            ได้แก่              ตายเพราะสิ้นอายุ และสิ้นกรรม

                        .     อุปัจเฉทกมรณะ         ได้แก่              ตายเพราะกรรมเข้าไปตัดรอน

 

 

แสดงนิมิตที่ปรากฏเมื่อใกล้จะตาย

            เมื่อเวลาใกล้ตาย กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์คตินิมิตอารมณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง

ย่อมปรากฏในทวารใดทวารหนึ่ง ในทวารทั้ง ๖ อยู่เสมอ

            กรรมอารมณ์    ตัวกรรมคือ กุศล  อกุศลเจตนานี้ จะมาเป็นอารมณ์ปรากฏ

ทางทวารทั้ง ๕ ไม่ได้ นอกจากปรากฏทางใจอย่างเดียว  ฉะนั้นผู้ที่ทำความดี, ความชั่ว 

แต่ภายในใจส่วนมาก  เมื่อเวลาใกล้จะตาย  การทำดี – ทำชั่ว    แต่ทางวาจาและกายยัง

ไม่ปรากฏ  เช่นนี้    กรรมอารมณ์ ย่อมมีโอกาสปรากฏได้

กรรมนิมิตอารมณ์    หมายถึงอารมณ์ทั้ง ๖   ที่ได้ประสพพบแล้วด้วยการ

กระทำทางกายวาจา, ใจ ของตนนั้น       กรรมนิมิต คือเครื่องหมายจากการกระทำ

ไม่ว่าจะดีหรือชั่วอย่างไรก็ตาม ย่อมปรากฏได้ทางทวารทั้ง ๖    เมื่อเวลาใกล้จะตาย 

กรรมนิมิตเครื่องหมายจาการกระทำ  ย่อมมีโอกาสปรากฏได้

คตินิมิตอารมณ์   หมายถึงอารมณ์ทั้ง ๖  ที่ได้ประสพพบแล้วด้วยการพบเห็น

และจะได้เสวยในภพหน้า  เป็นคตินิมิตอารมณ์  บอกชี้ทางถึงภพภูมิที่จะไปเกิดให้ปรากฏคตินิมิตอารมณ์นี้  ย่อมปรากฏได้ในทวารทั้ง ๖

 

                                                                                จุติมี ๒  ประเภท

                                    .        รูปจุติ                ๙    รูป

                                    .       นามจุติ           ๑๙   ดวง

                               

รูปจุติ  ๙       คือ      อสัญญสัตตพรหม  จุติด้วย รูป  ๙  คือ

                                                            .   อวินิพโภครูป     ๘

                                                            ชีวิตรูป               

                               

นามจุติ ๑๙    คือ    กามจุติจิต                  ๑๐  ดวง

                                                            รูปจุติจิต                      ๕  ดวง

                                                            อรูปจุติ                           ดวง

 


 

การสิ้นสุดแห่งปัจจุบันภพ

 

การเกิดขึ้นแห่งภวังคจิต  และ  กัมมชรูปที่เกิดขึ้น สืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย

ในภพหนึ่งๆ  เรียกว่า “ ปัจจุบันภพ ”    ครั้นภวังคจิตตุปาทเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นจุติ  และ

กัมมชรูปก็เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย  เรียกว่า ความเป็นไปแห่งปัจจุบันภพได้สิ้นสุดลง

            “ ปัจจุปปนน  ภวปริโยสานภูตํ ”    จุติจิต….เป็นจิตสุดท้ายแห่งปัจจุบันภพ

                       

และการเกิดขึ้นแห่งจุติจิตมี  ๒  อย่างคือ

                                    เกิดขึ้นสุดท้ายแห่งวิถีจิต                อย่างหนึ่ง

                                    เกิดขึ้นเมื่อภวังคจิตสิ้นสุดลง         อีกอย่างหนึ่ง

 

ใน ๒ อย่างนี้จุติจิตเกิดขึ้นสุดท้ายแห่งวิถีจิต มี  ๒  อย่าง 

และจุติจิตเกิดขึ้นเมื่อภวังคจิตสิ้นสุดลงก็มี ๒  อย่าง      รวมความแล้ว   
 มรณาสันนวิถี  ชนิดที่เป็น
ปัญจมรณาสันนวิถี จึงมี    อย่าง  คือ

                                .        .   .   .   .   .       จุติ.

                                .       .   .   .   .   .   จุติ.

                                .        .   .   .   .   .   .   .   .     .   จุติ.

                                .        .   .   .   .   .   .   .   จุติ.

                       

วิถีจิตทั้ง ๔  ประเภทนี้  มุ่งหมายเอาผู้ตายในกามภูมิ และจะเกิดในกามภูมิอีก

ส่วนผู้ ตายใน  กามภูมิแล้ว    จะเกิด   ในพรหมภูมิก็ดี

           ตายใน  พรหมภูมิ แล้วจะเกิด  ในพรหมภูมิก็ดี   หรือ

ตายใน  พรหมภูมิ และจะเกิด  ในกามภูมิก็ดี  

 

ทั้ง ๓  ประเภทนี้  มรณาสันนวิถี ได้แต่เฉพาะ ชวนะวาระ ๒ วิถี เท่านั้น คือ

                                .        .   .   .   .   .   จุติ.

                .       .   .   .   .   .   ……….   จุติ.

           

สำหรับตทาลัมพนวาระอีก ๒ วิถีนั้น ย่อมไม่เกิด  การที่ตทาลัมพนวาระ๒ วิถี

ไม่เกิดแก่บุคคล ๓ ประเภทนั้น   เพราะตทาลัมพนะ    จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย 

สภาพธรรม  ๓  ประการคือ  กามชวนะ กามบุคคล กามอารมณ์ 

ธรรม ๓ ประการนี้ต้องครบบริบูรณ์  ตทาลัมพนะจึงจะเกิดได้  

ฉะนั้นบุคคล ๓ จำพวก จึงมีธรรม ๓ ประการไม่ครบองค์  

มรณาสันนวิถีทั้ง ๒   ที่มีตทาลัมพนะ จึงเกิดไม่ได้



มรณุปปัตยานุกกะ
(
จุติ ปฏิสนธิปุถุชน)

 

อบาย จุติ ๑          ได้กามปฏิสนธิ  ๑๐  ดวง

 

สุคติ  และทวิเหตุก จุติ  ๕        ได้ปฏิสนธิ ๑๐   คือกามปฏิสนธิจิต   ๑๐  ดวง

 

มหาวิบากญาณสัมปยุต จุติ ๔  ให้ได้ปฏิสนธิ  ๑๙

 

รูปาวจรวิบาก  ๕  ดวง ดวงใดดวงหนึ่ง จุติลงแล้ว  ย่อมให้ได้ปฏิสนธิจิต  ๑๗  ดวงคือ 

 

มหาวิบากจิต          ๘

มหัคคตวิบากจิต    ๙

 

สุทธาวาสปัญจมฌาน จุติจิต  ๑  ดับลงแล้ว

ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้ปัญจมฌานวิบากปฏิสนธิ  ๑   เจตสิก ๓๐ ดวง

แม้ในปวัตติกาล ก็ได้ปัญจมฌานวิบากจิตนั้นแหละทำภวังค์ และจุติกิจ

 

อากาสาจุติ ๑  ดับลงแล้ว  ย่อมได้ปฏิสนธิจิต    ๘  ดวง คือ

                        มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต  ๔

                        อรูปาวจรวิบากจิต  ๔

            และในปวัตติกาล  ก็ได้จิต ๘ ดวงนี้ มาทำกิจ

 

วิญญาจุติ ๑  ดับลงแล้ว  ก็เป็นปัจจัยให้ได้ปฏิสนธิจิต    ๗  ดวง คือ

                        มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต    ๔

                        อรูปาวจรวิบากจิตเบื้องบน     ๓  (เว้น อากาสาวิบาก ๑)

            และในปวัตติกาล  ก็ได้จิต ๗ ดวงนี้แหละ มาทำกิจ

 

อากิญจัญญาวิบากจุติ ๑   ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้ปฏิสนธิจิต    ๖  ดวง คือ

                        มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต    ๔

                        อรูปาวจรวิบากจิตเบื้องบน     ๒ 

 

เนวสัญญาวิบากจุติ ๑   ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้ปฏิสนธิจิต    ๕  ดวง คือ

                        มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต    ๔

                        เนวสัญญาวิบากจิต   ๑

 


 

    มรณาสันนกาล มีอารมณ์  ๓  ชนิด

 

.   กรรม    ได้แก่  โลกียเจตนา  ๒๙

กรรมนิมิต   ได้แก่  อารมณ์ ๖ ที่มาปรากฏ เวลาใกล้ตาย

คตินิมิต  ได้แก่คติ ๕  คือ  มนุสสคติ นิรยคติ,  ติรัจฉานคติ,  เปตติคติ เทวคติ

 

     *  จิตที่รับมรณาสันนอารมณ์  ๓ *

 

จิต   ๔๑   ดวง  คือ    มโนทวาราวัชชนจิต       ๑

                                                กามชวนะจิต                ๒๙

                                                ตทาลัมพนะจิต              ๑๑

 

 

          * จิตที่มีอารมณ์เหมือนกัน *

 

                        .   มรณาสันนชวนะ           ๒๙  ดวง        ในอดีตภพ

            ๒   ปฏิสนธิจิต                      ๑๙  ดวง         ในปัจจุบันภพ

                        .   ภวังคจิต                         ๑๙  ดวง         ในปัจจุบันภพ

                        .   จุติจิต                              ๑๙  ดวง         ในปัจจุบันภพ

 

 

     * ลักษณะของอารมณ์  ๓   ชนิด *

 

            .   กรรม                ได้แก่  โลกียเจตนา  ๒๙     เป็นอดีต 

ปรากฏ  มีเฉพาะปัจจุบัน ที่ยังไม่ตายเท่านั้น

 

กรรมนิมิต    ได้แก่  อุปกรณ์ของกรรม คือ อารมณ์ ๖ อย่างใดอย่างหนึ่ง

ที่มาปรากฏตลอดเวลาใกล้ตาย  เช่นเห็นมีดสำหรับสังหารเป็นต้น

เป็นได้ ๒ กาล คือ อดีตกาล  และ ปัจจุบันกาล

 

.  คตินิมิต         ได้แก่คติ ๕   เป็นปัจจุบันอารมณ์

                                    รูปมาปรากฏทางมโนทวารอย่างเดียว  ปรากฏทางจักขุทวารไม่ได้

                                    และปรากฏมีในภพนี้เช่นกัน

 

 

 

*  จุติ ปฏิสนธิของพระอริยะ *

           

กามโสดา และสกทาคามี

                        ได้มหาวิบากญาณสัมปยุตจุติ ๔ ดวง  ดับลงแล้ว

ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิ  ๑๓  ดวง คือ   มหาวิบากญาณสัมปยุตตจิต  ๔ ดวง
และ  มหัคคตวิบากจิต    ๙  ดวง  รวม  ๑๓    ดวง  

และในขณะที่จิต ๑๓  ดวงนี้ ทำภวงัคกิจ  ตทาลัมพนกิจ  และจุติกิจ   เป็นปวัตติกาล

                กามอนาคามี

                        ได้จุติมหาวิบากญาณสัมปยุตจิต ๔ ดวง  แล้วให้เกิด มหัคคตวิบากปฏิสนธิ  ๙

          อริยบุคคลในรูปภูมิ  ๑๐ 

                        เสกขบุคคลที่ในปฐมฌานภูมิ ๓  ได้ ปฐมฌานวิบากจุติ  ๑

ได้ปฏิสนธิ ๙ คือ รูปวิบากปฏิสนธิ  ๕  และ อรูปวิบากปฏิสนธิ  ๔  รวมเป็น  ๙

          พระเสกขบุคคลในทุติยฌานภูมิ  ๓ 

                        ได้จุติ ทุติยฌานวิบาก และ ตติยฌานวิบาก  ๒  ได้ปฏิสนธิ ๘  ดวง

คือ รูปวิบากปฏิสนธิ  ๔  และ อรูปวิบากปฏิสนธิ  ๔  รวมเป็น  ๘

                          ส่วนปฐมฌานวิบาก ๑  พระอริยะ ไม่กลับมาอีกแล้ว

พระเสกขบุคคล ที่ในตติยฌานภูมิ  ๓ 

                        ได้จตุตถฌานวิบากจุติ  ๑   ได้ปฏิสนธิ  ๖  ดวง

คือ  รูปจตุตถ ฌาน  และปัญจมวิบากปฏิสนธิ   ๒ 

และ อรูปวิบากปฏิสนธิ  ๔  รวมเป็น  ๖  

พระเสกขบุคคล ที่ในจตุตถฌานภูมิ  ๕     คือ สุทธาวาส ๕

                        ได้ปัญจมฌานวิบากปฏิสนธิ  ๑   เลื่อนขึ้นไปตามลำดับจนถึง สุทธาวาสชั้นอกนิฏฐา

  แล้วนิพพานในที่นั้นหมด

 

พระเสกขบุคคล  ในพรหมชั้น อากาสา 

                        ได้อากาสาวิบากจุติ  ๑   ได้ปฏิสนธิ  ๔  คือ อรูปวิบากจิต ๔
 

พระเสกขบุคคล  ในพรหมชั้น วิญญาณัญจา 

                        ได้วิญญาณวิบากจุติ  ๑   ได้ปฏิสนธิ  ๓  คือ อรูปปฏิสนธิเบื้องบน ๓
 

พระเสกขบุคคล  ในพรหมชั้น อากิญจัญญา 

                        ได้อรูปอากิญจุติ  ๑   ได้อรูปปฏิสนธิเบื้องบน ๒
 

๑๐เนวเสกขบุคคล  ในพรหมชั้น เนวภูมิ 

                        ได้เนววิบากจุติ  ๑   แล้วนิพพานในที่นั้น โดยไม่กลับมาอีก

 

 

            พระอริยะ ที่ขึ้นไปเกิดในภูมิพิเศษ  ๓  ภูมิ

ย่อมไม่ย้ายไปเกิดที่ภูมิอื่นอีก

          ย่อมอยู่ที่นั่น จนบรรลุพระขีณาสพ

         แล้วก็นิพพานในที่นั้นที่เดียว
 

 

สมตามบาลีที่มีว่า

เวหปผเล    อกนิฏเฐ  ภวคเค  จ  ปติฏฐิตา
น   ปุน   ยตถ  ชายนติ สพเพ  อริยปุคคลา