![]() ![]() ![]() |
![]() |
||||||
|
วันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น.
อาจารย์บุษกร เมธางกูร ได้นำ คณะศิษย์บางส่วนจากมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิเดินทางไปยังวัดศรีประวัติ เพื่อตระเตรียมความ พรักพร้อมเกี่ยวกับหนังสือที่จะต้องใช้แจกให้แก่ผู้ที่มาร่วมงานพระราชทานเพลิงศพฯที่จะมีขึ้น ในวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๔๕ มูลนิธิพุทธางกูร ได้เป็นเจ้าภาพพิมพ์หนังสือผลงานของหลวงพ่อแสวงชื่อ ทางสายเอก จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ ได้เป็นเจ้าภาพพิมพ์หนังสือเรื่อง คนตายแล้วไปเกิดได้อย่างไร จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม ทั้งนี้เพื่อเป็นกตัญญูกตเวทิตาธรรมและอาจาริยบูชาแก่หลวงพ่อแสวงผู้มีอุปการคุณยิ่งแก่ ทั้งสองมูลนิธิ |
|||||
![]() |
|
|||||
![]() |
และในคืนนี้
พระอาจารย์สุมณ
เจ้าอาวาสวัดบางปลาม้า
ในคืนนั้นกว่าพวกเราทุกคนจะแยกย้ายกันกลับก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม
|
|||||
![]() ซึ่งวัดสามพระยาปวารณาตนเป็นเจ้าภาพในเช้าวันนี้ และได้อาราธนา พระวิสุทธาธิบดี
เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม จากนั้นก็เป็นการถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์จำนวนนับร้อยรูป |
|
|||||
|
และในช่วงบ่ายเวลา ๑๓.๐๐ น. ได้อาราธนา
พระธรรมกิตติวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ขึ้นแสดงพระธรรมเทศนาอีกหนึ่งกัณฑ์ และเมื่อพระธรรมเทศนาจบลง บริเวณการประกอบ พิธีได้ย้ายจากบนศาลาลงมายังบริเวณที่ตั้งเมรุลอยและปะรำพิธีโดยรอบ แต่ประรำพิธีและ เก้าอี้ที่ทางวัดจัดไว้สำหรับผู้มาร่วมงานนั้นไม่เพียงพอต่อการมาของศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย พระสงฆ์จำนวนมากมายหลายรูปต้องออกมานั่งกลางแจ้งภายนอกประรำพิธี และฆราวาส ทั้งหลายที่มาจากทิศต่างๆโดยมาถึงบริเวณช้ากว่าผู้อื่นก็ต้องพากันยืนเป็นแถวอยู่ด้านข้าง ประรำพิธีบ้าง ด้านข้างเจดีย์บ้าง นับเป็นความน่าปลาบปลื้มใจที่ลูกศิษย์ทั้งหลายยังไม่ลืม หลวงพ่อแสวง และที่น่าปลาบปลื้มใจมากยิ่งขึ้นก็คือพระราชาคณะชั้นสมเด็จ ซึ่งเป็นกรรมการของมหาเถรสมาคมจำนวน ๓ รูป คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ, สมเด็จพระพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม และ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม ได้มาร่วมเป็นประธานในพิธีนี้ |
|||||
![]()
|
|
|||||
|
![]() ผ้าบังสุกุลผืนแรกได้ถูกน้ำขึ้นไปทอดถวายบนเมรุลอยด้วยมือของ อาจารย์บุษกร จวบจนกระทั่งผ้าบังสุกุลผืนสุดท้ายซึ่งทอดโดยประธานในพิธีคือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โดยมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
เป็นผู้พิจารณาผ้าผืนสุดท้ายนี้ และประกอบพิธีจุดไฟ หลังจากนั้นคลื่นมหาชนในชุดสีดำก็ได้หลั่งไหลจากบริเวณต่างๆเข้ามายังหน้าเมรุเพื่อขึ้นไป |
|||||
เวลา
๒๑.๐๐ น.
เมื่อเจ้าพนักงานได้เชิญหีบทองบรรจุศพของหลวงพ่อลงจากเมรุมาสู่ยานพาหนะสำหรับเคลื่อนศพแล้ว
เสียงสะอึกสะอื้นก็เริ่มระงมกันอีกครั้ง
พิธีการในครั้งนี้เป็นพิธีการครั้งสุดท้ายที่ลูกศิษย์ทั้งหลายกระทำให้แก่หลวงพ่อก่อนที่ร่างของหลวงพ่อจะมอดไหม้ไปในกองเพลิง
พระภิกษุจำนวนเกือบร้อยรูปได้เดินนำหน้าขบวนแห่ศพไปด้วยความสงบ
เจ้าพนักงานค่อยๆเคลื่อนยานพาหนะไปตามทางอย่างช้าๆ
โดยมีอาจารย์บุษกรและคณะศิษย์มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิเดินตามมาอย่างใกล้ชิด
ขบวนแห่อันยาวเหยียดได้มุ่งตรงไปยังเมรุวัดศรีประวัติด้วยความเศร้าสร้อย
..เมื่อเวียนรอบเมรุครบสามรอบแล้ว เจ้าหนักงานและเจ้าหน้าที่ประจำเมรุได้นำโลงของหลวงพ่อขึ้นสู่จิตกาธาน ผ้าบังสุกุลถูกทอดวางไปบนโลงเป็นผืนแรกด้วยมือของอาจารย์บุษกร และเมื่อพระสงฆ์ทำพิธีชักผ้าบังสุกุลครบทั้ง ๔ ผืนแล้ว เจ้าหน้าที่ประจำเมรุก็ได้เคลื่อนโลงบรรจุศพหลวงพ่อเข้าสู่เตาเผาด้วยความระมัดระวัง |
|
|||||
|
![]() ของหลวงพ่อ เปลวเพลิงค่อยๆเริ่มเผาไหม้ดอกไม้จันที่ถูกวางลงไปแต่ละดอก แต่ละคน ที่เดินเข้ามาล้วนอยู่ในอาการโศกสลด บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาเป็นเส้นสาย โดยเฉพาะ อาจารย์บุษกรนั้นนอกจากจะปรากฏคราบน้ำตาบนใบหน้าแล้ว ดวงตายังแดงช้ำ ตัดกับใบหน้าที่ซีดเซียวจนเห็นได้ชัด . เมื่อดอกไม้จันดอกสุดท้ายได้ถูกวางลงแล้ว เจ้าหน้าที่ประจำเมรุได้ปิดฝาเตาเผาจนสนิทพร้อมกับเร่งไฟไปตามกระบวนการ บัดนี้ พิธีการทางศาสนาได้สำเร็จสมบูรณ์แล้ว แต่พิธีแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณ ของพวกเรายังไม่สิ้นสุดลงแค่นั้น
|
|||||
|
||||||
วันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๕ เวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น.
อาจารย์บุษกรและ ลูกศิษย์ได้มาพร้อมกันที่บริเวณเมรุวัดศรีประวัติอีกครั้งหนึ่งเพื่อร่วมพิธีเก็บอัฐิ .. เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำเมรุได้เลื่อนรางรองรับอัฐิของหลวงพ่อออกมาจากเตาเผาแล้ว
ก็ทำพิธีแปรรูปโดยนำอัฐิของหลวงพ่อในส่วนของกระโหลกศีรษะ กระดูกแขน
กระดูกขา และกระดูกซี่โครงหน้าอก ออกมาวางเป็นโครงร่าง
เมื่อลูกศิษย์ทุกคนได้กระทำดังกล่าวครบแล้ว เจ้าหน้าที่ประจำเมรุได้นิมนต์ให้พระสงฆ์พิจารณาบังสุกุลด้วยคำ บังสุกุลตาย ก่อน แล้วจับผืนผ้าขาวหมุนโครงร่างให้หันหัวกลับมาทางทิศตะวันออก จึงนิมนต์ให้บังสุกุลเป็นอีกครั้งหนึ่ง (ซึ่งพิธีกรรมตรงนี้ได้รับคำอธิบายในภายหลังว่า
เป็นการแสดงถึงการเวียนว่ายตายเกิด
คือในครั้งแรกนั้น หมายถึงการตายในชาตินี้
ส่วนการกลับหัวโครงร่างอีกครั้งหนึ่งนั้นหมายความว่าตายจากชาตินี้แล้วจะต้องไปเกิดอีก)
|
|
|||||
|
![]() ..เมื่อมองดูแล้วก็ให้รู้สึกแตกต่างจากเมื่อครั้งที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่เหลือเกิน ร่างกายที่สูงถึง ๑๗๘ ซม. ..หลงเหลืออัฐิไว้เพียงห่อผ้าเดียว
และอาจารย์บุษกรได้นำห่อผ้าบรรจุอัฐิของหลวงพ่อมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณี ณ
ศาลา นับว่าในวันนี้พิธีการต่างๆได้เสร็จสิ้นลงอย่างแท้จริง แต่ในขณะเดียวกันการเผยแผ่พระอภิธรรมตามลำพังของอาจารย์บุษกร
|
มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ....รายงาน