2.4 มหาสติปัฏฐานสูตร : แนวคิดและการอธิบาย
จิตใต้สำนึกของทุกชีวิตรักที่จะมีความสุขและรังเกียจสิ่งที่ทำให้ชีวิตเดือดร้อน แต่ความฝังใจและความเชื่อของแต่ละชีวิตไม่เหมือนกัน ใครมีความเชื่อ มีเงื่อนไขของความสุขอย่างไร ฝังใจสิ่งใดไว้ก็จะแสดงออกไปตามสิ่งที่ตนเชื่อว่าถูกต้อง และตำหนิพฤติกรรมของผู้อื่นที่ไม่เหมือนของตน ปลูกฝังเป็นความสันทัดที่ติดตัวมาจากอดีตอย่างไม่มีใครคาดคิด
จิตใต้สำนึกร่วมเช่นนี้มีที่มาและความเป็นไปอย่างไร ยากที่จะมีผู้เข้าใจและยอมรับในเหตุผลอันลึกซึ้งนั้น ต้องอาศัยพระสัพพัญญุตาญาณของพระพุทธองค์ ตรัสรู้เข้าไปถึงความเกี่ยวโยงอันเร้นลับของความรักชีวิตในระดับจิตใต้สำนึกดังกล่าวจึงมีการรู้ตาม ปฏิบัติตาม จนสำเร็จผลเช่นเดียวกับที่พระพุทธองค์ทรงทำสำเร็จไปแล้ว
วิธีการของสติและเหตุผลต่าง ๆ ของปัญญาได้รับการค้นคว้า พิสูจน์ ทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งโดยกลุ่มผู้ยังเป็นปุถุชนและท่านผู้เป็นพระอริยะ และพบว่าสัจจธรรมย่อมเป็นสัจจธรรมอยู่ในตัวเองที่ไม่อาจปฏิเสธได้ จะมีใครยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่สัจจธรรมจากไตรลักษณ์ไม่เคยวิปริตผันแปรไปเพราะกาลเวลา สถานที่ หรือบุคคล ลำนำชีวิตแห่งอริยสัจจ์ดังกล่าว ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อมาจากอดีต โดยมุขปาฐะสู่คัมภีร์ทางศาสนา
คัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นแหล่งบันทึกประสบการณ์ และสิ่งที่เป็นความรู้สึกร่วมของมนุษยชาติ บันทึกประสบการณ์ร่วมจากพระคัมภีร์ เป็นสิ่งยืนยันถึงผลสำเร็จดังกล่าว แม้จะผ่านมาเป็นเวลามากกว่า 2,500 ปีแล้วก็ตาม ปัจจุบันถ้าผู้ใดปฏิบัติถูกทางก็จะได้รับผลเช่นเดียวกัน นับแต่ครั้งพุทธกาลมา หนทางที่ได้รับการยกย่องและพระพุทธองค์ก็ทรงยืนยันว่าสามารถนำชีวิตไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ก็คือ สติปัฏฐานเท่านั้น คำสอนทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ ส่วนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมยอมรับจากพุทธศาสนิกชนแทบทุกชาติ ทุกภาษา มาจนทุกวันนี้ ได้แก่ มหาสติปัฏฐานสูตรนั่นเอง
ในมหาสติปัฏฐานสูตรพระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
“หนทางที่เป็นไปอันเอกเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ เพื่อก้าวล่วงความโศก ความคร่ำครวญ เพื่อให้ความทุกข์กายทุกข์ใจตั้งอยู่ไม่ได้ เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน คือ การตั้งสติ 4อย่าง ได้แก่
1. การตั้งสติพิจารณากายได้แก่ องค์ประกอบของร่างกาย อิริยาบถการเคลื่อนไหว
2. การตั้งสติพิจารณาเวทนา ได้แก่ ความรู้สึกขณะกระทบอารมณ์
3. การตั้งสติพิจารณาจิต ได้แก่ ผู้รู้อารมณ์และความเป็นไปของจิตที่รู้อารมณ์
4. การตั้งสติพิจารณาธรรม ได้แก่ สภาวธรรมต่าง ๆ ของกาย เวทนา จิต ในส่วนย่อยเทียบกับสภาวธรรม ได้แก่ กาย
เวทนา และจิตในส่วนใหญ่
การตั้งสติบนลักษณะพื้นฐาน 4 อย่างนี้ จัดเป็นเหตุให้ได้บรรลุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ บรรลุ
อรหัตตผลในปัจจุบัน ถ้ายังมีเชื้อเหลือก็จะได้บรรลุความเป็นพระอนาคามี (ผู้ไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีก) ภายใน 7 ปี หรือลดลงมาโดยลำดับถึงภายใน 7 วัน”
(ที.มหาวัค. 10)
ในมหาสติปัฏฐานสูตร แบ่งหัวข้อการพิจารณาที่ต่างกัน มี 13 หัวข้อ แยกตามอารมณ์ได้ 21 ชนิด คือ
| | |
1. | ลมหายใจ | 1 |
2. | อิริยาบถ | 1 |
3. | สัมปชัญญะ | 1 |
4. | ปฏิกูลมนสิการ | 1 |
5. | ธาตุววัฏฐานะ | 1 |
6. | ซากศพในลักษณะต่าง ๆ 9 อย่าง | 9 |
7. | เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ทั้ง 9 อย่าง) | 1 |
8. | จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ทั้ง 16 อย่าง) | 1 |
9. | นิวรณ์ 5 | 1 |
10 | ขันธ์ 5 | 1 |
11. | อายตนะ 12 | 1 |
12 | โพชฌงค์ 7 | 1 |
13. | อริยสัจจ์ 4 | 1 |
| |
ตารางที่ 1 แสดงสติปัฏฐาน 4 แยกตามอารมณ์
ตารางที่ 2 แสดงหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หมวดกรรมฐาน | ฐานที่ตั้งแห่งการสังเกต (สังเกตอะไรบ้าง) | วิธีการสังเกต (สังเกตอย่างไร) | ||
1.
2.
3.
4. | ลมหายใจ
อิริยาบถ
สัมปชัญญะ
ปฏิกูลมนสิการ | 1. 2. 3. 4.
1. 3.
-
-
| ลักษณะลมหายใจเข้า ลักษณะลมหายใจออก การหายใจเข้านั้น สั้น/ยาว การหายใจออกนั้น สั้น/ยาว รู้ในอาการที่กำลัง ยืน 2. เดิน นั่ง 4. นอน รู้ในอริยบถย่อยของ ท่าทาง : การก้าวไป ถอยกลับ ศีรษะ : การเหลียวซ้ายแลขวา หน้าตา : การกิน การพูด นิ่ง แขนขา ลำตัว : เหยียดคู้ ก้มเงย เดิน ยืน นั่ง นอน การขับถ่าย : อุจจาระ ปัสสาวะ ขณะใช้สอย : บาตร จีวร เครื่องนุ่งห่ม พิจารณาร่างกายเป็นเพียงธาตุ 4 (ไม่ใช่คน/สัตว์) อวัยวะภายนอก ผม ขน เล็ก ฟัน หนัง อวัยวะภายใน มันสมอง หัวใจ ปอด ตับ ไต ลำไส้ ฯลฯ น้ำที่แทรกตามอวัยวะต่าง ๆ น้ำเลือด น้ำดี น้ำหนอง ฯลฯ | การกำหนดตาม เมื่อจิตประกอบไปด้วยสติกับสัมปชัญญะบริสุทธิ์น้อมไปกำหนดตามฐานทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ทำให้เกิดความรู้สึกตามความเป็นจริงได้ จะต้องเข้าใจว่าการกำหนดตามนั้นต้องถือหลักว่ากำหนดตามอาการหนึ่งอาการใดในอาการทั้งหมดที่ปรากฏอยู่เสมอไปทีละอาการ มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1. กำหนดตามฐานที่เป็นภายใน 2. กำหนดตามฐานที่เป็นภายนอก 3. กำหนดเทียบกันทั้งภายในและภายนอก สกนธ์กายของเราเรียกว่า ภายใน ในตัวเรานี้เรียกว่าภายใน ส่วนตัวผู้อื่นเรียกว่า ภายนอก เมื่อกำหนดฐานทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่ละอย่าง ๆ ที่มีอยู่ในกายตัวเองและผู้อื่น กำหนดเทียบกันทั้งภายในและภายนอก ครั้งเมื่อกำหนดได้ 2 ลักษณะ คือ เงื่อน 2 อันนี้ได้บริสุทธิ์ดี ก็ให้เอาใจน้อมเอาฐานเหล่านั้นที่ปรากฏ ในตนและผู้อื่นมาเทียบเคียงกัน ดูจนรู้ประจักษ์แน่ชัดว่ามีความเป็นไปอย่างเดียวกัน โดยเงื่อนเหล่านี้ประชุมลงใน |
แสดงหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ต่อ)
หมวดกรรมฐาน | ฐานที่ตั้งแห่งการสังเกต (สังเกตอะไรบ้าง) | วิธีการสังเกต (สังเกตอย่างไร) | ||
5.
| ธาตุววัฏฐานะ
|
1.
2.
3.
4.
1 3. 4. 5. 6. 7.
| พิจารณาร่างกายเป็นเพียงธาตุ 4 (ไม่ใช่คน/สัตว์) ธาตุดิน ส่วนของร่างกายที่จับต้องได้ อวัยวะทั้งภายนอก/ภายใน ตั้งแต่ผิวหนังจนถึงกระดูก ธาตุน้ำ ที่ช่วยยึดโยงหล่อเลี้ยงอวัยวะเหล่านั้น ธาตุไฟ ความเย็น ความร้อนในร่างกายการเผาผลาญอาหาร ธาตุลม ที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว โยกคลอนได้ ศพที่เขียว อืด พอง น้ำหนองไหล ศพนั้นเป็นอาหารของสัตว์ต่าง ๆ หนอน แมลง แร้ง ฯลฯ โครงกระดูกที่ยังมีเนื้อ มีเลือด มีเอ็น โครงกระดูกที่ไม่มี เนื้อ มีเลือด มีเอ็น โครงกระดูกที่ไม่มีเนื้อ ไม่มีเลือด มีเอ็น โครงกระดูกที่ไม่มีเนื้อ ไม่มีเลือด ไม่มีเอ็น โครงกระดูกที่กระจัดกระจาย เป็นท่อนวางเคลื่อนอยู่ | ลักษณะ 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง-ไม่เที่ยง ทุกขัง-เป็นทุกข์ อนัตตา-ไม่ใช่ตัวตน จึงได้ชื่อว่ากำหนดเห็นทั้งภายในและภายนอกได้ นี่คือ การกำหนดตาม คือ ตามอาการและตามฐานต่าง ๆ เมื่อกำหนดตามได้แล้วก็เป็นการกำหนดที่ถูกต้องขึ้นมา ดังนั้น การกำหนดที่ถูกต้องจะมีลักษณะ คือ 1. มีสติกำหนดรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่หรือไม่ 2. ความรู้นั้นสักแต่ว่าเป็นความรู้ อย่าไปไหวตามความรู้หรือไหวตามสิ่งใดทั้งสิ้น 3. สติก็สักแต่ว่าเป็นสติ เป็นขณะ และทุกขณะ อย่าหลงฟั่นเฟือนตามอาการของทุกสิ่งทุกอย่าง 4. ระวังใจมิให้อาศัยติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น 5. ไม่ให้ยึดมั่น ถือมั่น ว่าทั้งหมดเป็นเรา เป็นของของเรา หลักธรรมทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นหลักใหญ่และสำคัญมากสำหรับผู้เจริญตามหลักสติปัฏฐาน 4 หลักของความจริงที่จะต้องค้นคว้าให้ประจักษ์มีอยู่เพียง 3 ประการเท่านั้น คือ
|
แสดงหมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ต่อ)
หมวดกรรมฐาน | ฐานที่ตั้งแห่งการสังเกต (สังเกตอะไรบ้าง) | วิธีการสังเกต (สังเกตอย่างไร) | ||
6. |
ป่าช้า ฯ |
8.
9. ... |
โครงกระดูกที่แต่ละท่อนถูกทิ้ง กองไว้ด้วยกันมากกว่า 1 ปี โครงกระดูกที่ ผุ เปื่อย ป่นเป็นผง แม้โดยอาการอย่างใด ภิกษุนั้นนำเอากายนี้เข้าไปเปรียบว่า ถึงแม้กายนี้แล |
สพฺเพ สงฺขารา อนิจจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
การที่จะเกิดมีวิปัสสนาก็ตรงที่ได้เห็นว่า สังขารทั้งหมดไม่เที่ยง สังขารทั้งหมดเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา กิจสำคัญอย่างยิ่งของการค้นคว้าก็คือ จะต้องมีความเพียร มีสติ และมีปัญญา จึงจะสามารถเข้าใจลักษณะ 3 ประการได้ชัดเจน กาย เป็นส่วนที่จะต้องถูกค้นคว้าก่อนฐานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นส่วนที่หยาบ ปกปิดส่วนละเอียดเอาไว้ มีสติดูกายเพื่อจะให้เห็นว่าความไม่เที่ยงนั้นอยู่ที่กาย เมื่อความไม่เที่ยงเกิดขึ้นก็เกิดความทุกข์อยู่ที่กาย และกายของเราตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า นับตั้งแต่อวัยวะภายนอกและอวัยวะภายในไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ในหัวข้อคำว่า “กาย” ตัวเดียวก็มี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และบังคับบัญชาไม่ได้ สักแต่ว่าเกิดขึ้นตามกรรมชรูปจากเหตุปัจจัยเดิม เราไม่มีทางเดินแห่งการพ้นทุกข์จึงมีการเกิด การเกิดต้องมีรูปกาย พึงกำหนดใจ ไม่มีเรา ไม่มีของของเรา เพราะในที่สุดก็ถูกทำลายไป
|
ตารางที่ 3 แสดงหมวดเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หมวดกรรมฐาน | ฐานที่ตั้งแห่งการสังเกต (สังเกตอะไรบ้าง) | วิธีการสังเกต (สังเกตอย่างไร) | ||
7. | ความรู้สึก (เวทนา) |
1. 2.
3.
4. 5.
6.
7. 8.
9. | สังเกตความรู้สึกที่เกิดกับร่างกายมี 9 ความรู้สึก คือ สุขเวทนา (ความพอใจ) สุขเวทนา มีอามิส (อาศัยกามคุณอารมณ์) สุขเวทนา ไม่มีอามิส (การสละกามคุณได้) ทุกขเวทนา (ความบีบคั้งดิ้นรน) ทุกขเวทนา ที่มีอามิส (อาศัยกามคุณอารมณ์) ทุกขเวทนา ไม่มีอามิส (เสียใจที่สละกามคุณไม่ได้) อทุกขมสุขเวทนา (ไม่สุขไม่ทุกข์) อทุกขมสุขเวทนา มีอามิส (อาศัยกามคุณ) อทุกขมสุขเวทนา ไม่มีอามิส (ขณะได้ญาณปัญญาขั้นสูง)
| เวทนานุปัสสนา มีสติเข้าไปกำหนดเวทนาเพื่ออะไร เวทนา คือ การเสวยอารมณ์ เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง หรือไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ (การรู้สึกเฉย ๆ) ที่มีอยู่ในตนเองและผู้อื่น การรู้สึกเฉย ๆ นั้น ถ้าไม่ใช่เฉย ๆ ของพระอรหันต์ก็จะมีโมหะครอบงำ เมื่อมีสติเข้าไปกำหนดเวทนาเพื่อจะได้เห็นว่า อารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ นั้น มีความไม่เที่ยง เมื่อมีความไม่เที่ยงแล้วก็สร้างความทุกข์ให้ อะไรก็ตามที่หมุนเวียนอยู่ เรียกว่า ทุกข์ นอกจากนั้นแล้วไม่ว่าอารมณ์สุขหรืออารมณ์ทุกข์ยังบังคับบัญชาไม่ได้ในเวทนาจึงมี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา |
ตารางที่ 4 แสดงหมวดจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หมวดกรรมฐาน | ฐานที่ตั้งแห่งการสังเกต (สังเกตอะไรบ้าง) | วิธีการสังเกต (สังเกตอย่างไร) | ||
| |
- - - - - - - - | มีราคะ - ไม่มีราคะ มีโทสะ - ไม่มีโทสะ มีโมหะ - ไม่มีโมหะ รู้สึกหดหู่ - รู้สึกฟุ้งซ่าน เป็นมหัคคตะ - ไม่เป็นมหัคคตะ สอุตตระ - อนุตตระ ไม่เป็นสมาธิ - เป็นสมาธิ ยังไม่หลุดพ้น - หลุดพ้นจากความยึดถือ |
|
ตารางที่ 5 แสดงหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
| ฐานที่ตั้งแห่งการสังเกต | | |||
| องค์ธรรม | หลักการสังเกต |
| ||
9.
10.
11.
| นิวรณ์ 5
ขันธ์ 5
อายตนะ 12
| กามฉันทะ พยาปาทะ ถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ตา กับ รูป หู กับ เสียง จมูล กับ กลิ่น ลิ้น กับ รส กาย กับ โผฏฐัพพะ ใจ กับ ธรรมารมณ์
| 1.
2.
3.
4.
1. 2.
3.
1. 2. 3.
| กามฉันทะที่เป็นภายในมีอยู่/ไม่มีอยู่ กามฉันทะที่ยังไม่เกิดจะมีได้ เพราะเหตุใด กามฉันทะที่เกิดแล้ว จะละได้ด้วยเหตุใด กามฉันทะที่ยังไม่เกินจะไม่เกิดอีก เพราะเหตุใด ส่วนนิวรณ์ธรรมอีก 4 ตัว พิจารณาเช่นเดียวกัน ฯ ล ฯ นี้รูป (เวทนา, สัญญา...) นี้ความเกิดของรูป (เวทนา, สัญญา...) นี้ความดับของรูป (เวทนา, สัญญา...) ฯ ล ฯ รู้ชัดตา (หู จมูก ...) รู้ชัดรูป (เสียง, กลิ่น...) รู้ชัดสังโยชน์ที่อาศัยตาและรูปเกิดขึ้น -สังโยชน์ที่ไม่เกิด จะเกิดเพราะเหตุใด -สังโยชน์ที่เกิดแล้ว จะละได้ด้วยเหตุใด
| ในหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ มีความซับซ้อนและหลากหลายมาก เป็นพัฒนาการของการสังเกตชั้นสูง ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการพิจารณา กาย เวทนา และจิต อย่างชำนาญและคล่องแคล่วแล้วเท่านั้น เพราะนอกจากจะมากไปด้วยองค์ธรรมแล้วในแต่ละองค์ธรรมยังมีหลักการสังเกตย่อยเฉพาะอย่าง ซึ่งต้องอาศัยไหวพริบ ปฏิภาณในการวิเคราะห์เป็นสำคัญ มิใช่เพียงแค่สังเกตอย่างเดียว แต่ต้องสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทั้งเงื่อนเกิดและเงื่อนดับของรูปและนาม ซึ่งเป็นธรรมชาติภายในตนเองได้ด้วย อย่างไรก็ตามในส่วนของวิธีการสังเกตยังคงใช้ 3 ขั้นตอน โดยแต่งละขั้นตอนมี 3 ลักษณะเช่นกัน คือ 1. การเฝ้าตามดูธรรม (เช่นกามฉันทะ) ในธรรมทั้งหลาย (นิวรณ์ 5) ที่เป็นภายในอยู่บ้าง เฝ้าตามดู |
แสดงหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ต่อ)
| ฐานที่ตั้งแห่งการสังเกต |
การวิเคราะห์ | |||
| องค์ธรรม | หลักการสังเกต |
| ||
12.
|
โพชฌงค์ 7 |
สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา |
1.
2.
3.
4. | -สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดอีกด้วยเหตุใด ฯ ล ฯ (สังโยชน์ในอายตนะอีก 5 คู่ ก็พิจารณา 3 ลักษณะนี้เช่นเดียวกัน) สติสัมโพชฌงค์ภายใน มีอยู่ สติสัมโพชฌงค์ภายในไม่มีอยู่ สติสัมโพชฌงค์ที่ยัง ไม่เกิด จะเกิดเพราะอะไร สติสัมโพชฌงค์ที่เกิดแล้ว จะเจริญอย่างไร ฯ ล ฯ (โพชฌงค์อีก 6 ข้อ ให้พิจารณาแยกเป็น 4 ลักษณะเช่นกัน) | ธรรมทั้งหลายที่เป็นภายนอกอยู่บ้าง เฝ้าตรวจดูธรรมในธรรมทั้งหลายทั้งภายในและภายนอก 2. การเฝ้าตรวจดูสิ่งที่ทำให้ธรรม (นิวรณ์ 5, ขันธ์ 5..) เกิดขึ้นเฝ้าตามดูสิ่งที่ทำให้ธรรมนั้นดับไป และเฝ้าตรวจดูทั้งสิ่งที่ทำให้ธรรมนั้นเกิดขึ้นพร้อมกับสิ่งที่ทำให้ธรรมเหล่านั้นดับไป 3. ในการเฝ้าสังเกตธรรมทั้งหลายนั้น สังเกตเพียงเพื่อรู้ไว้หรือระลึกไว้เท่านั้น ไม่เป็นผู้มีสิ่งใด (ทั้งอารมณ์และความคิดส่วนตัว) อาศัยอยู่ด้วย และไม่ยึดถืออะไร ๆ ในโลก (เพราะคิดว่าสิ่งนั้นดี เที่ยง เป็นสุข และมีตัวตน เป็นต้น) |
แสดงหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ต่อ)
| ฐานที่ตั้งแห่งการสังเกต | | ||
| องค์ธรรม | หลักการสังเกต |
| |
13. | อริยสัจจ์ 4 | ทุกขอริยสัจจ์
ทุกขสมุทยสัจจ์ ได้แก่ ตัณหา (เหตุแห่งทุกข์)
ทุกขนิโรธสัจจ์
| ชาติ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ประสบสิ่งไม่รัก พลัดพรากจากสิ่งรัก การไม่สมความปรารถนา อุปาทานขันธ์ 5 ตัณหาเกิดขึ้น และตั้งอยู่ในที่เหล่านี้ คือ ทวาร 6 อารมณ์ 6 วิญญาณ 6 ผัสสะ 6 เวทนา 6 สัญญา 6 เจตนา 6 ตัณหา 6 วิตก 6 วิจาร 6 ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ (ดับตัณหา) การดับตัณหา ให้ดับตรงที่เกิดนั่นเอง คือ ทวาร 6 อารมณ์ 6 วิญญาณ 6 ผัสสะ 6 เวทนา 6 สัญญา 6 เจตนา 6 ตัณหา 6 วิตก 6 วิจาร 6
| หมวดอริยสัจจ์ 4 เป็นกรรมฐานหมวดสุดท้าย มีลักษณะพิเศษที่รวบรวมเหตุผลและหลักการสังเกตของทั้ง 12 หมวดที่กล่าวมาแล้ว จัดเป็นสุดยอดของความเข้าใจในพระพุทธศาสนาทั้งหมด กล่าวถึงเหตุและผลของชีวิตทั้งในระดับต่ำที่ต้องวนเวียนเกิดตาย และชีวิตในระดับสูงสุดที่ไม่ต้องเกิดอีก เพราะออกจากวังวนได้ ทั้งกาย เวทนา จิต จัดอยู่ในหมวดทุกขอริยสัจจ์ เกี่ยวเนื่องด้วยวัฏฏะสงสารของ กิเลส กรรม และวิบาก ซึ่งมีความแปรปรวนทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และบังคับบัญชาไม่ได้ ในหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานเอง มีขันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์โดยตรง เพราะอาศัยขันธ์ 5 จึงมีอายตนะและเกิดนิวรณ์ตามทวารทั้ง 6 ต่อมาจึงต้องมีหมวด |
แสดงหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (ต่อ)
| ฐานที่ตั้งแห่งการสังเกต | | |||
| องค์ธรรม | หลักการสังเกต |
| ||
13. | อริยสัจจ์ 4 | ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา |
1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. | ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์มี 8 ประการ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ | ของการกำหนดรู้ทุกข์ด้วยสภาวะที่ดับเหตุแห่งทุกได้ ชื่อว่า นิโรธ ความเข้าใจถึงเหตุผลทั้งหมดของชีวิตดังกล่าว ทำให้รู้ว่ามีเพียงทางเลือกทางเดียว คือ มรรคมีองค์ 8 เท่านั้น ชีวิตจึงพบสันติสุขอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติ ดังนั้น จึงจัดมรรคไว้ในหัวข้อสุดท้าย และเป็นหัวใจของความพ้นทุกข์ทั้งหมด ถึงแม้จะมีความเข้าใจชีวิตอย่างถ่องแท้เพียงใด หากยังไม่ผ่านประสบการณ์สุดท้ายแห่งมรรคแล้ว ก็ยังไม่ชื่อว่าเข้าถึงธรรมอยู่นั่นเอง
|
คำสอนของพระพุทธองค์แสดงวิธีการฝึกจิตและแสดงอารมณ์ของกรรมฐานแบบต่าง ๆ ไว้มากมาย เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละบุคคล เหมาะกับจริตอุปนิสัย และความสามารถที่แตกต่างกัน แต่กระนั้นวิธีการต่าง ๆ เหล่านั้น ก็รวมลงทั้งหมดในสติปัฏฐาน ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นทางสายเดียว (เอกายโน มคฺโค - เอกายนมรรค) อาจกล่าวได้ว่า สติปัฏฐาน เป็น หัวใจของกรรมฐาน ในพระพุทธศาสนาหรือยิ่งกว่านั้นคือ เป็นหัวใจของพระธรรมทั้งหมดก็ว่าได้ (พระญาณโปนิกเถระ 2534 : 1)
ลักษณะของสติ คือ มีความระลึกได้ในอารมณ์อยู่เนือง ๆ ช่วยไม่ให้เกิดความหลงลืม มีการคุ้มครองรักษาจิตใจ หรือการทำจิตใจให้จดจ่ออยู่กับอารมณ์ สติเป็นเจตสิกฝ่ายกุศลตัวหนึ่ง และเป็นตัวนำในการกั้นเจตสิกฝ่ายบาปไม่ให้ผ่านเข้ามาในสติ จึงมีประโยชน์ในทุกกรณี คอยเฝ้ารักษาไม่ให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้าปรุงแต่งจิต ถ้าปราศจากสติแล้วก็จะประคองจิตไว้ไม่ได้ สติจึงเรียกได้ว่าเป็นความไม่ประมาท ความหมายของความไม่ประมาท ก็คือ ความไม่ปราศจากสตินั่นเอง
“สติ” นั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่จะทำให้บุคคลหยุดคิดพิจารณาก่อนที่จะทำ จะพูด และแม้แต่จะคิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าสิ่งนั้นดีหรือชั่ว มีคุณ มีประโยชน์ หรือเสียหาย ควรกระทำหรือควรงดเว้นอย่างไร เมื่อยั้งคิดได้ก็จะช่วยให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดประณีต และสามารถกลั่นกรองเอาสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นประโยชน์ออกให้หมด คงเหลือแต่เนื้อแท้ที่ถูกต้องและเป็นธรรม ซึ่งเป็นของควรคิด ควรพูด ควรทำแท้ ๆ (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลÍดุลยเดช, “พระบรมราโชวาท” ใน วารสารลานพิกุล. 2537 : 36)
ดังได้กล่าวแล้วว่า สติปัฏฐานเป็นหัวใจของกรรมฐานในพระพุทธศาสนา ดังนั้น การวิเคราะห์ที่จะมีต่อไปจึงเลือกศึกษาพระสูตรในส่วนของมหาสติปัฏฐานสูตร อันเป็นพระสูตรที่เกี่ยวกับกรรมฐานโดยตรง ในหนังสือเสรีธรรมกล่าวถึงเรื่องสติไว้ว่า สติจะใช้ในกิจกรรม 2 ขั้นตอน คือ
1. มีสติดำรงอยู่ในองค์ของสติปัฏฐานแล้ว ทำใจให้สงบเป็นสมถะเพื่อเตรียมการกำหนดรู้หรือเตรียมค้นคว้าต่อไป
2. เมื่อสติอยู่กับใจที่สงบดีแล้ว ก็ใช้สตินั้นกำหนดรู้ตามฐานทั้ง 4ตามความเป็นจริง เรียกว่า วิปัสสนา
การกำหนดตาม เมื่อจิตประกอบไปด้วยสติกับสัมปชัญญะบริสุทธิ์น้อมไปกำหนดตามฐานทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ทำให้เกิดความรู้สึกตามความเป็นจริงได้ จะต้องเข้าใจว่าการกำหนดตามนั้นต้องถือหลักว่ากำหนดตามอาการหนึ่งอาการใดในอาการทั้งหมดที่ปรากฏอยู่เสมอไปทีละอาการ มีอยู่ 3 อย่าง คือ
1. กำหนดตามฐานที่เป็นภายใน
2. กำหนดตามฐานที่เป็นภายนอก
3. กำหนดเทียบกันทั้งภายในและภายนอก
สกนธ์กายของเราเรียกว่า ภายใน ในตัวเรานี้เรียกว่าภายใน ส่วนตัวผู้อื่นเรียกว่า ภายนอก เมื่อกำหนดฐานทั้ง 4 คือ กาย เวทนา จิต ธรรม แต่ละอย่าง ๆ ที่มีอยู่ในกายตัวเองและผู้อื่น กำหนดเทียบกันทั้งภายในและภายนอก ครั้งเมื่อกำหนดได้ 2 ลักษณะ คือ เงื่อน 2 อันนี้ได้บริสุทธิ์ดี ก็ให้เอาใจน้อมเอาฐานเหล่านั้นที่ปรากฏในตนและผู้อื่นมาเทียบเคียงกัน ดูจนรู้ประจักษ์แน่ชัดว่ามีความเป็นไปอย่างเดียวกัน โดยเงื่อนเหล่านี้ประชุมลงในลักษณะ 3 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง-ไม่เที่ยง ทุกขัง-เป็นทุกข์ อนัตตา-ไม่ใช่ตัวตน จึงได้ชื่อว่ากำหนดเห็นทั้งภายในและภายนอกได้ นี่คือ การกำหนดตาม คือ ตามอาการและตามฐานต่าง ๆ เมื่อกำหนดตามได้แล้วก็เป็นการกำหนดที่ถูกต้องขึ้นมา ดังนั้น การกำหนดที่ถูกต้องจะมีลักษณะ คือ
1. มีสติกำหนดรู้ว่ าสิ่งเหล่านั้นมีอยู่หรือไม่
2. ความรู้นั้นสักแต่ว่า เป็นความรู้ อย่าไปไหวตามความรู้หรือไหวตามสิ่งใดทั้งสิ้น
3. สติก็สักแต่ว่าเป็นสติ เป็นขณะ และทุกขณะ อย่าหลงฟั่นเฟือนตามอาการ
4. ระวังใจมิให้อาศัยติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น
5. ไม่ให้ยึดมั่น ถือมั่น ว่าทั้งหมดเป็นเรา เป็นของของเรา
หลักธรรมทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นหลักใหญ่และสำคัญมากสำหรับผู้เจริญตามหลักสติปัฏฐาน 4 หลักของความจริงที่จะต้องค้นคว้าให้ประจักษ์มีอยู่เพียง 3 ประการเท่านั้น คือ
สพฺเพ สงฺขารา อนิจจา สังขารทั้งหมดไม่เที่ยง
สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งหมดเป็นทุกข์
สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา
(ไม่ใช่ตัวตน ไม่สามารถบังคับบัญชาได้)
การที่จะเกิดมีวิปัสสนาก็ตรงที่ได้เห็นว่า สังขารทั้งหมดไม่เที่ยง สังขารทั้งหมดเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา กิจสำคัญอย่างยิ่งของการค้นคว้าก็คือ จะต้องมีความเพียร มีสติ และมีปัญญา จึงจะสามารถเข้าใจลักษณะ 3 ประการได้ชัดเจน
|
|
|
|
á¹Ç¤Ô´¨Ò¡ÊµÔ»Ñ¯°Ò¹Êٵà : ÊÒÃÐÊӤѢͧʵԻѯ°Ò¹Êٵà : ¡Òû¯ÔºÑµÔà¾×èͤÇÒÁÃÙéá¨é§ : ¡ÅѺÊÙè˹éÒÊÒúÑ