ปริจเฉทที่ ๔ วิถีสังคหวิภาค
หน้าที่
: 1 2
3 4 5 6 7
8 9 10 11 12
13 14 15 16 17
18 19 20 21 22
23 24 25
26 27 28 29 30 31 32
33 34 35 36 37 38 39
40 41 42 43 44 45 46
47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57
58 59 60 61 62 63 64
65 66 67 68 69 70 71
72 73 74 75
76 77 78 79 80 81
82 83 84 85 86 87 88 89
90 91 92 93 94 95 96 ค้นหาหัวข้อธรรม
อิฏฐารมณ์
หรือ อนิฏฐารมณ์
การที่จะทราบว่าธรรมใดเป็น
อิฏฐารมณ์
และธรรมใดเป็น
อนิฏฐารมณ์
นั้น มีหลักกว้าง ๆ
ที่จะพิจารณาได้พอประมาณดังนี้
คือ
ก.
ธรรมใดเป็นกุสล
เกิดมาจากกุสล หรือ
เนื่องด้วยกุสล ธรรมนั้น ๆ เป็น อิฏฐารมณ์
ข.
ธรรมใดเป็นอกุสล
เกิดมาจากอกุสล หรือ
เนื่องด้วยอกุสล ธรรมนั้น ๆ
เป็นอนิฏฐารมณ์
แม้กระนั้นก็ยังไม่เป็นการตายตัว
เช่น สุนัขเน่า
ตามสภาพก็เป็นอนิฏฐารมณ์
เพราะดูก็น่าเกลียด
กลิ่นก็น่าชัง
แต่ว่าเป็นที่ชอบใจ
และเป็นอาหารอันโอชาของ
กาและแร้ง
ก็ถือว่าเป็นอิฏฐารมณ์ของกาของแร้ง
และเรียกว่าเป็น ปริกัปปอิฏฐา
รมณ์
(ปริกัปป
แปลว่า กำหนดว่า หรือสำคัญว่า)
เพราะแร้งและกากำหนดว่า
หรือสำคัญว่า
สุนัขเน่านั้นเป็นของดีของมัน
ในทางตรงกันข้าม
ทุเรียน ใคร ๆ
ก็ชอบกลิ่นและชอบกิน
แต่ว่าบางคน ไม่ชอบก็มี
ดังนั้นทุเรียนก็เป็นปริกัปปอนิฏฐารมณ์ของผู้นั้น
เพราะผู้นั้นกำหนดว่า สำคัญว่า
ทุเรียนเป็นของไม่ดีสำหรับเขาโดยเฉพาะ
ในการที่จะตัดสินว่า
ธรรมใดเป็นอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์นี้
มีทางพิจารณา ได้หลายแง่หลายมุม
ท่านอรรถกถาจารย์และฎีกาจารย์
จึงได้แสดงแนวทางในการ
พิจารณาในเรื่องนี้ไว้ ๕ ประการ
คือ
๑.
พิจารณาโดย
วิบากจิต
๒.
พิจารณาโดย
มัชฌัตตบุคคล
๓.
พิจารณาโดย
ทวาร
๔.
พิจารณาโดย
อารมณ์
๕.
พิจารณาโดย
กาละ
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ