ปริจเฉทที่ ๕ วิถีมุตตสังคหวิภาค

หน้าที่ : 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74
75
76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 ค้นหาหัวข้อธรรม

ละความชั่วทั้งปวง ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ใสบริสุทธิ์...

บุคคลกับภูมิ

บุคคลที่ยังไม่เคยได้มัคคผลเลยเป็นผู้ที่ยังหนาด้วยกิเลสเรียกว่า ปุถุชน บุคคล ผู้ได้เจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุมัคคผลแล้ว เป็นผู้ที่ห่างไกลจากกิเลส เรียกว่า อริยะ ปุถุชนมีอยู่ ๔ บุคคล และอริยะมีอยู่ ๘ บุคคลรวมเป็น ๑๒ บุคคล ดังนี้

ปุถุชน ๔      ได้แก่       ทุคคติบุคคล                 

                               สุคติบุคคล                  

                               ทวิเหตุกบุคคล               

                               ติเหตุกบุคคล                

อริยะ ๘  ได้แก่          โสดาปัตติมัคคบุคคล              

                             สกทาคามิมัคคบุคคล                            มัคคบุคคล ๔

                             อนาคามิมัคคบุคคล               

                             อรหัตตมัคคบุคคล                 

                             โสดาปัตติผลบุคคล               

                             สกทาคามิผลบุคคล                             ผลบุคคล ๔                                                                 อนาคามิผลบุคคล                             

                             อรหัตตผลบุคคล                  

บุคคลใดเกิดได้ในภูมิไหน และบุคคลใดเกิดไม่ได้ในภูมิไหนนั้น มีดังนี้

ปุถุชน โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี(มัคค)ไม่เกิดในสุทธาวาส ด้วยประการ ทั้งปวง

มีความหมายว่าปุถุชนทั้ง ๔ บุคคล กับโสดาปัตติมัคคบุคคล ๑ โสดาปัตติผล บุคคล ๑ สกทาคามิมัคคบุคคล ๑ สกทาคามิผลบุคคล ๑ และ อนาคามิมัคคบุคคล ๑ รวมเป็น ๙ บุคคลด้วยกัน ทั้ง ๙ บุคคลนี้ จะเกิดในสุทธาวาสภูมิทั้ง ๕ แม้แต่ ภูมิใดภูมิหนึ่งไม่ได้เลยเป็นอันขาด ด้วยประการทั้งปวง

ที่ว่าด้วยประการทั้งปวงนั้น หมายความว่า ไม่ว่าการเกิดนั้นจะเป็นด้วยอำนาจ ปฏิสนธิ หรือเกิดด้วยอำนาจแห่งภาวนา ก็เกิดไม่ได้ทั้ง ๒ ประการ

ทั้งนี้เพราะสุทธาวาสภูมิทั้ง ๕ เป็นที่เกิดโดยเฉพาะของอนาคามิผลบุคคล ที่ ได้ปัญจมฌานด้วยนั้นโดยอำนาจแห่งปฏิสนธิ และเป็นที่เกิดอรหัตตมัคคบุคคล อรหัตตผลบุคคล โดยอำนาจแห่งการเจริญภาวนาที่สุทธาวาสภูมินั้น

พระอริยะไม่เกิดในอสัญญีภพและอบายภูมิเลย ส่วนภูมิที่เหลือนอกนั้นจะเป็น พระอริยะและแม้มิใช่พระอริยะก็เกิดได้

มีความหมายว่า

๑. อริยะทั้ง ๘ บุคคลไม่เกิด(โดยอำนาจภาวนา) ในอสัญญสัตตภูมิ ๑ เพราะ อสัญญสัตตภูมิ๑ เป็นภูมิของบุคคลที่มีแต่รูปร่างกายอย่างเดียวเท่านั้นไม่มีจิต บุคคล ผู้มีจิตใจจึงจะบำเพ็ญเพียรภาวนาธรรมให้แจ้งในอริยะสัจจ ๔ ได้

๒. อริยะบุคคล ๘ ไม่เกิด(โดยอำนาจปฏิสนธิ)ในอสัญญสัตตภูมิ ๑ เพราะพระอริยะไม่เจริญสัญญาวิราคภาวนาที่ปรารถนาจะมีแต่รูปอย่างเดียว โดยไม่ ประสงค์จะมีจิตใจอย่างนั้นไม่

๓. อริยะบุคคล ๘ ไม่เกิด (โดยอำนาจภาวนา) ในอบายภูมิ ๔ เพราะบุคคล ในอบายภูมิ ๔ เป็นบุคคลที่ไร้ปัญญา อันเป็นองค์สำคัญยิ่งในการบำเพ็ญเพียร ภาวนาธรรมให้ถึงมัคคถึงผล

๔. อริยะบุคคล ๘ ไม่เกิด (โดยอำนาจปฏิสนธิ) ในอบายภูมิ ๔ เพราะ อริยะบุคคลเป็นผู้ที่ละแล้วซึ่งกิเลสอันจะส่งผลให้ไปปฏิสนธิในอบาย จึงเป็นผู้ที่ปิด อบายได้แล้ว เป็นผู้ที่พ้นจากอบาย

๕. ส่วนภูมิที่เหลือนอกนั้น อันได้แก่ มนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปภูมิ ๑๕ ภูมิ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ ๑) และอรูปภูมิ ๔ รวม ๒๖ ภูมิ นั้นจะเป็นอริยะ บุคคลก็ดี หรือ แม้มิใช่อริยะบุคคลก็ดี ก็เกิดได้

๖. ทุคคติบุคคล ๑ เกิดได้ (โดยอำนาจปฏิสนธิอย่างเดียว) ในอบายภูมิ ๔

๗. สุคติอเหตุกบุคคล ๑ เกิดได้ (โดยอำนาจปฏิสนธิอย่างเดียว) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ ในเทวดา ชั้นจาตุมมหาราชิกา ๑ ภูมิ

ทวิเหตุกบุคคล ๑ เกิดได้ (โดยอำนาจปฏิสนธิอย่างเดียว) ในมนุษย์ภูมิ ๑ ภูมิ ในเทวดา ๖ ภูมิ

๘. ติเหตุกบุคคล ๑ (ที่เป็นปุถุชน) เกิดได้ (โดยอำนาจปฏิสนธิอย่างเดียว) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ ในเทวดา ๖ ภูมิ ถ้าเจริญสมถภาวนาได้รูปฌานก็ดี ได้อรูปฌานก็ดี ก็ไปเกิด (โดยอำนาจปฏิสนธิ) ในรูปภูมิ ๑๑ (เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕) และอรูปภูมิ ๔ ตามชั้นฌานที่ตนได้

๙. โสดาปัตติมัคคบุคคล ๑ โสดาปัตติผลบุคคล ๑ รวมอริยะ ๒ บุคคลนี้เกิด ได้ (โดยอำนาจภาวนา) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปภูมิ ๑๐ (เว้นสุทธาวาส ภูมิ ๕ อสัญญสัตตภูมิ ๑) รวม ๑๗ ภูมิ

หมายความว่า มนุษย์ เทวดาและรูปพรหมที่กล่าวนั้น สามารถเจริญวิปัสสนา ภาวนาให้บรรลุถึงโสดาปัตติมัคค โสดาปัตติผลได้

ที่เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ เพราะเป็นที่เกิด(โดยอำนาจปฏิสนธิ) ของปัญจมฌาน อนาคามิผลบุคคล

และที่ไม่ได้กล่าวถึง อรูปพรหมในข้อนี้ด้วย เพราะในอรูปภูมิทั้ง ๔ นั้น อรูป พรหมที่เป็นปุถุชน คือยังไม่ถึงมัคคถึงผลเลยนั้น ไม่สามารถเริ่มเจริญวิปัสสนาให้ เกิดโสดาปัตติมัคค โสดาปัตติผลได้ ด้วยเหตุว่าการเจริญวิปัสสนาภาวนาให้บรรลุ มัคคผลในชั้นต้นเริ่มแรกนี้ต้องอาศัยพิจารณาทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม แต่อรูปพรหม ไม่มีรูปธรรมให้อาศัยพิจารณาเลย

๑๐. อริยะบุคคลอีก ๖ คือ สกทาคามิมัคคบุคคล สกทาคามิผลบุคคล อนาคามิมัคคบุคคล อนาคามิผลบุคคล อรหัตตมัคคบุคคล และอรหัตตผลบุคคล นั้นเกิดได้ (โดยอำนาจภาวนา) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ เทวดา ๖ ภูมิ รูปภูมิ ๑๕ (เว้น อสัญญสัตตภูมิ ๑) และ อรูปภูมิ ๔ รวม ๒๖ ภูมิ

หมายความว่า มนุษย์ เทวดา รูปพรหมและอรูปพรหม สามารถเจริญ วิปัสสนาภาวนา(ต่อ) ให้บรรลุเป็นอริยะ ๖ นี้อีกได้

มีข้อสังเกตที่ควรกล่าวอยู่ว่า สุทธาวาสภูมิ ๕ อันเป็นที่เกิด (โดยอำนาจ ปฏิสนธิ) ของปัญจมฌานลาภีอนาคามิผลบุคคลอยู่แล้ว จึงมีการเจริญวิปัสสนา ภาวนา เพื่อให้บรรลุถึงขั้นอรหัตตมัคค อรหัตตผล เท่านั้น

อนึ่งในข้อ ๑๐ นี้ กล่าวถึงอรูปพรหมด้วยนั้น มีอธิบายว่า มนุษย์ก็ดี เทวดา ก็ดี รูปพรหมก็ดี เจริญสมถภาวนาจนได้อรูปฌานและเจริญวิปัสสนาภาวนาด้วย จน เป็นโสดาบันบุคคลแล้ว เมื่อถึงแก่มรณะก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหมที่เป็นพระโสดาบัน โสดาบันบุคคลที่เป็นอรูปพรหมนี้เจริญวิปัสสนาภาวนา(ต่อ) เพื่อให้บรรลุเป็นพระ สกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ได้ ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาต่อเช่นนี้ เพียงแต่พิจารณานามธรรมอย่างเดียวก็ได้ ไม่จำต้องพิจารณารูปธรรมอีกด้วย เพราะ รูปธรรมนั้นได้พิจารณามาแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นนั้น

๑๑. โสดาปัตติผลบุคคล ๑ สกทาคามิผลบุคคล ๑ รวมอริยะ ๒ บุคคลนี้ เฉพาะที่เป็นมนุษย์หรือเทวดา เมื่อถึงกาลกิริยาแล้วก็อาจจะมาเกิด (โดยอำนาจ ปฏิสนธิ) ในมนุษย์ ๑ ภูมิ ในเทวดา ๖ ภูมิ อีกได้

แต่ถ้าเป็นผู้ที่ได้ฌานด้วย ก็ไปเกิด (โดยอำนาจปฏิสนธิ) ได้ในรูปภูมิ ๑๐ (เว้นสุทธาวาสภูมิ ๕ อสัญญสัตตภูมิ ๑) และอรูปภูมิ ๔ ตามชั้นฌานที่ตนได้

เฉพาะโสดาปัตติผลบุคคล สกทาคามิผลบุคคล ที่เป็นรูปพรหมหรืออรูปพรหม อยู่แล้ว จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีกเลย

๑๒. อนาคามิผลบุคคล ๑ เกิดได้(โดยอำนาจปฏิสนธิ) ดังนี้ คือ

อนาคามิผลบุคคลที่เป็นมนุษย์หรือเทวดา แม้ในชาติที่บำเพ็ญเพียรภาวนา ธรรมจนบรรลุเป็นอนาคามิผลบุคคลนั้น จะไม่ได้เจริญสมถภาวนาด้วย คือไม่ได้ทำ ฌานเลยก็ตาม แต่ก่อนที่จุติจิตจะเกิดคือในชวนมรณาสันนวิถี ฌานจิตที่ได้เคย บำเพ็ญมาแล้วแต่ชาติปางก่อนโน้นครั้งหลังที่สุดก็จะเกิดขึ้นก่อน แล้วจุติจิตจึงจะ เกิด เมื่อจุติแล้วก็ต้องปฏิสนธิเป็นพรหมชั้นนั้น ๆ กล่าวอย่างธรรมดาสามัญก็ว่า พระอนาคามีที่เป็นมนุษย์หรือเทวดา เมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นพรหมแน่นอนไม่กลับ มาเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีกเลย เพราะพระอนาคามีนั้นประหารกามราคะ และ พยาปาทะได้เด็ดขาดสิ้นเชิงแล้ว

ถ้าอนาคามิผลบุคคลผู้นั้นได้ถึงปัญจมฌานด้วย ก็ไปเกิดในสุทธาวาสภูมิ โดย อำนาจปฏิสนธิแต่อย่างเดียว


?????? ?????????? ???????????????????? ???...
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
ศีล สมาธิ ปัญญา... หนทางสายเอก...