ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค
หน้าที่
: 1 2
3 4 5 6 7
8 9 10 11 12
13 14 15 16 17
18 19 20 21 22
23 24 25
26 27 28 29 30 31 32
33 34 35 36 37 38 39
40 41 42 43 44 45 46
47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57
58 59 60 61 62 63 64
65 66 67 68 69 70 71
72 73 74 75
76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 ค้นหาหัวข้อธรรม
ปรมัตถธรรม
คือ
สิ่งที่มีเนื้อความอันไม่วิปริตผันแปรนั้นมีสภาวะ
หรือมี ลักษณะ
๒ อย่าง ได้แก่ สามัญญลักษณะ ๑
และวิเสสลักษณะ ๑
ก.
สามัญญลักษณะ
เป็นลักษณะสามัญเป็นลักษณะธรรมดาที่ธรรมทั้งหลาย
ที่สิ่งทั้งหลายมีเหมือน ๆ กัน
เป็นลักษณะทั่ว ๆ ไป
ที่ธรรมทั้งหลายจะต้องเป็นไป
อย่างนั้น สามัญญลักษณะมี ๓ อย่าง
คือ อนิจจลักษณะ ๑ ทุกขลักษณะ ๑
และ อนัตตลักษณะ ๑
อนิจจลักษณะ
เป็นสภาวะหรือเป็นลักษณะที่ไม่เที่ยง
ไม่มั่นคง ไม่ยั่งยืน
อยู่ได้ตลอดกาล
ทุกขลักษณะ เป็นสภาวะหรือเป็นลักษณะที่ทนอยู่ไม่ได้
จำต้องแตกดับ เสื่อมสลายไป
อนัตตลักษณะ เป็นสภาวะหรือเป็นลักษณะที่ว่างเปล่า
ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้
หมายว่าจะให้เป็นไปตามใจชอบ
หาได้ไม่
เพราะเหตุว่า
สามัญญลักษณะ มีสภาพ ๓ อย่าง
ดังที่ได้กล่าวแล้วนี้
จึงได้ชื่อ ว่า ไตรลักษณ์
จิต
เจตสิก และรูป มีไตรลักษณ์ คือ
สามัญญลักษณะ ครบบริบูรณ์ทั้ง ๓
อย่าง
แต่นิพพานมีสามัญญลักษณะเพียง ๑
คือ อนัตตลักษณะเท่านั้น
ส่วนบัญญัติธรรม
ไม่มีสามัญญลักษณะ ๓ อย่าง คือ
ไตรลักษณ์นี้แต่อย่าง
หนึ่งอย่างใดไม่เพราะบัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรมแต่เป็นบัญญัติธรรมคือ
สมมติสัจจะ ที่สมมติขึ้นบัญญัติขึ้น
ตามโวหารของโลกเท่านั้น
ไม่ใช่สิ่งที่มีเองเป็นเองแต่อย่างใด
ข.
วิเสสลักษณะ เป็นลักษณะพิเศษที่มีประจำ
เป็นจำเพาะของสิ่งนั้นๆ เป็น
สภาพพิเศษประจำตัวของธรรมแต่ละอย่างแต่ละชนิด
ซึ่งมีไม่เหมือนกันเลย วิเสส
ลักษณะมี ๔ ประการ คือ ลักษณะ รสะ
ปัจจุปัฏฐาน และปทัฏฐาน
ลักษณะ
หมายถึง คุณภาพ
เครื่องแสดงหรือสภาพโดยเฉพาะที่มีอยู่เป็น
ประจำตัวของธรรมนั้น ๆ
รสะ
หมายถึง กิจการงาน
หรือหน้าที่การงานของธรรมนั้น ๆ
พึง กระทำตามลักษณะของตน
รสะนี้ยังจำแนกออกได้เป็น ๒ คือ
กิจจรส และ สัมปัตติรส
กิจจรส
เช่น
ความร้อนของไฟมีหน้าที่การงานทำให้สิ่งของต่าง
ๆ สุก
สัมปัตติรส
เช่น แสงของไฟ
มีหน้าที่การงานทำให้สว่าง
ปัจจุปัฏฐาน
หมายถึงอาการที่ปรากฏจากรสะนั้น
คือผลอันเกิดจากรสะ
ปทัฏฐาน
หมายถึง
ปัจจัยโดยตรงที่เป็นตัวการให้เกิดลักษณาการนั้น
ๆ เรียกว่า เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
เพราะเหตุว่าวิเสสลักษณะนี้
มี ๔
ประการดังที่ได้กล่าวแล้วนี้
จึงได้ชื่อว่า ลักขณาทิจตุกะ
แปลความว่า ธรรมที่มีองค์ ๔
อันมีลักษณะ เป็นต้น
จิต
เจตสิก และ รูป มีลักขณาทิจตุกะ
คือ วิเสสลักษณะครบบริบูรณ์ทั้ง ๔ ประการ
แต่นิพพานมีวิเสสลักษณะเพียง ๓
ประการ คือ ลักษณะ รสะ และ
ปัจจุปัฏฐานเท่านั้น
ไม่มีปทัฏฐาน เหตุใกล้ให้เกิด
เพราะนิพพานเป็นธรรมที่พ้นจาก
เหตุจากปัจจัยทั้งปวง
ส่วนบัญญัติธรรมนั้น
ไม่มีวิเสสลักษณะเลย
เพราะบัญญัติไม่มีสภาวธรรมที่มี
เองเป็นเอง
เป็นการบัญญัติขึ้นตามความนิยมของชาวโลกเท่านั้นเอง
คำว่า
รูป นี้
ใน ปรมัตถทีปนีฎีกา
กล่าวอธิบายไว้ว่า รุปฺปนตีติ
รูปํ แปลว่า
ธรรมชาติที่แตกดับหรือผันแปรนั้น
เรียกว่า รูป
เข้าใจง่าย
ๆ ก่อนว่า
สิ่งใดก็ตามถ้าแตกดับย่อยยับ
ผันแปรไปด้วยอำนาจ ของความเย็น
ความร้อน ก็รวมเรียกว่า รูป จัดเป็นรูปทั้งหมด
รวมมีความหมายว่า
รูป
คือ
ธรรมชาติที่ผันแปรแตกดับไปด้วยความเย็น
และความร้อน รูปในส่วนของปรมัตถที่มีชีวิตจิตใจครองที่จะรู้ว่าเป็นรูปได้นั้น
อาศัยรู้ได้โดย วิเสสลักษณะ
คือลักษณะพิเศษ ๔ ประการ คือ
รุปฺปน
ลกฺขณํ
มีการสลายแปรปรวน
เป็นลักษณะ
วิกิรณ
รสํ
มีการแยกออกจากกัน(กับจิต)ได้
เป็นกิจ
อพฺยากต
ปจฺจุปฏฺฐานํ
มีความเป็นอพยากตธรรม
เป็นอาการปรากฏ
วิญฺญาณ
ปทฏฺฐานํ
มีวิญญาณ
เป็นเหตุใกล้ให้เกิด
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ