ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค

หน้าที่ : 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74
75
76 77 78 79 80 81 82 83 84 85 86 87 ค้นหาหัวข้อธรรม

ละความชั่วทั้งปวง ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ใสบริสุทธิ์...

ตามนัยแห่งกำเนิด

      กำเนิดบาลีว่าโยนิหมายถึงอาการที่เกิดใหม่ของสัตว์ทั้งหลายอีกนัยหนึ่งหมายความว่า ที่ที่ปฏิสนธิวิญญาณอาศัยเกิด หรือที่ที่สัตว์ทั้งหลายอาศัยเกิดมี  ๔ อย่าง

       . ชลาพุชกำเนิด ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดา เกิดในมดลูก คลอดออกมา เป็นตัวเลย แล้วค่อย ๆ โตขึ้นตามลำดับ สัตว์ที่เป็นชลาพุชกำเนิด ได้แก่

. มนุษย์

. เทวดาชั้นต่ำ

. สัตว์ดิรัจาน

. เปรต (เว้นนิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตจำพวกที่ถูกไฟเผาอยู่เสมอ)

. อสุรกาย

       ที่เรียกว่าเทวดาชั้นต่ำ ในที่นี้หมายถึงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ที่เป็นภุมมัฏฐ เทวดา คือเทวดาที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดิน ไม่มีวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศเป็นที่อยู่ ซึ่งมีชื่อว่า วินิปาติกอสุรา และเวมานิกเปรต เฉพาะพวกที่ปฏิสนธิด้วยอุเบกขา สันตีรณกุสลวิบาก เท่านั้น

      . อัณฑชกำเนิด คือเกิดในฟองไข่ ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดาเหมือนกัน แต่มีฟองห่อหุ้ม คลอดออกมาเป็นไข่ก่อน แล้วจึงแตกจากไข่มาเป็นตัว และค่อย ๆ เติบโตขึ้นตามลำดับ สัตว์ที่เป็นอัณฑชกำเนิด ได้แก่

. มนุษย์ (มีมาในธัมมบทว่า พระ ๒ องค์ที่เรียกกันว่า ทเวพาติกเถระ ซึ่งเป็นลูกของโกตนกินรี เมื่อเกิดมาทีแรกออกมาเป็นฟองไข่ก่อน แล้ว จึงคลอดออกมาจากฟองไข่นั้นอีกทีหนึ่ง)

. เทวดาชั้นต่ำ

. สัตว์ดิรัจฉาน

. เปรต (เว้นนิชฌามตัณหิกเปรต)

. อสุรกาย

       ชลาพุชกำเนิด และอัณฑชกำเนิด ทั้ง ๒ นี้ รวมเรียกว่า คัพภเสยยกกำเนิด เพราะต้องอาศัยเกิดในครรภ์มารดาเหมือนกัน ต่างกันแต่เพียงว่า ออกมาเป็นตัวเลย หรือออกมาเป็นฟองไข่ก่อน แล้วจึงแตกเป็นตัวภายหลัง

      . สังเสทชกำเนิด หมายถึงเกิดขึ้นในที่มีความเปียกชื้น เกิดขึ้นโดยไม่ต้อง อาศัยบิดา มารดา ไม่ได้อาศัยเกิดจากท้องมารดา เกิดขึ้นโดยอาศัย ต้นไม้ ผลไม้ ดอกไม้ ดอกบัว โลหิต หรือที่เปียกชื้น เป็นต้น เกิดมาก็เล็กเป็นทารก แล้วจึง  ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมา สัตว์ที่เป็นสังเสทชกำเนิด ได้แก่

. มนุษย์ (เช่น นางจิญจมาณวิกาเกิดจากต้นมะขาม  นางเวฬุวดีเกิดจาก ต้นไผ่  นางปทุมวดีเกิดจากดอกบัว  โอรสของนางปทุมวดีรวม ๔๙๙ องค์ เกิดจากโลหิต เป็นต้น)

. เทวดาชั้นต่ำ

. สัตว์ดิรัจฉาน

. เปรต (เว้นนิชฌามตัณหิกเปรต)

. อสุรกาย

      . โอปปาติกกำเนิด หมายถึงเกิดขึ้นและใหญ่โตเต็มที่ในทันทีทันใดนั้นเลย ทีเดียว ไม่ต้องอาศัยเกิดจากท้องมารดา ไม่ได้อาศัยสิ่งใดเกิด อาศัยอดีตกรรมอย่าง เดียว สัตว์ที่เป็นโอปปาติกกำเนิด ได้แก่

. มนุษย์ มีในสมัยต้นกัปป์

. เทวดาทั้ง ๖ ชั้น (เว้นเทวดาชั้นต่ำ)

. พรหมทั้งหมด

. สัตว์นรก, สัตว์ดิรัจฉาน, อสุรกาย

. เปรต (รวมทั้งนิชฌามตัณหิกเปรตด้วย)

      . หรือจะ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า

. มนุษย์ ๑ ภูมิ

. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา (เว้นเทวดาชั้นต่ำ) ๑ ภูมิ

. สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภูมิ

. เปรต (เว้นนิชฌามตัณหิกเปรต) ๑ ภูมิ

. อสุรกาย ๑ ภูมิ

       รวม ๕ ภูมินี้ มีกำเนิดได้ทั้ง ๔

       . เทวดาชั้นต่ำ (เทวดาชั้นจตุมหาราชิกาที่เป็นภุมมัฏฐเทวดา) มีกำเนิดได้ เพียง ๓ คือ ชลาพุชกำเนิด อัณฑชกำเนิด และสังเสทชกำเนิด เท่านั้น

       . เทวดาตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป ๕ ภูมิ รูปพรหม ๑๖ ภูมิ อรูปพรหม ๔ ภูมิ นิชฌามตัณหิกเปรต ๑ ภูมิ และสัตว์นรก ๑ ภูมิ มีกำเนิดได้อย่างเดียว คือ โอปปาติกกำเนิด

       . ชลาพุชกำเนิด และ อัณฑชกำเนิด ทั้ง ๒ กำเนิดนี้ รวมเรียกว่า คัพภเสยยกกำเนิด นั้น ย่อมเกิดได้เฉพาะในกามภูมิเท่านั้น

       ในปฏิสนธิกาล มีรูปเกิดได้ ๓ กลาป คือ กายทสกกลาป มีรูป ๑๐ รูป, หทยทสกกลาปมีรูป ๑๐ รูป และภาวทสกกลาป(กลาปใดกลาปเดียว)มีรูป ๑๐ รูป รวม ๓ กลาป เป็นรูป ๓๐ รูป แต่ถ้านับรวมรูป (ซ้ำไม่นับ) ก็ได้เพียง ๑๕ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘, ชีวิตรูป ๑, กายปสาทรูป ๑, หทยรูป ๑, อิตถีภาวรูปหรือ ปุริสภาวรูป ๑, ปริจเฉทรูป ๑, อุปจยรูป ๑, และสันตติรูป ๑

       รูปที่เกิดไม่ได้ในปฏิสนธิกาล ๑๓ รูป คือ ปสาทรูป ๔ (เว้นกายปสาทรูป), สัททรูป ๑, ภาวรูป (รูปใดรูปเดียว) , วิญญัตติรูป ๒, วิการรูป ๓, ชรตารูป ๑, และ อนิจจตารูป ๑

       ในปวัตติกาล ถ้าไม่บกพร่องเลย รูปก็เกิดได้ทุกกลาป คือ กัมมชกลาป ๘ (เว้นอิตถีภาวทสกกลาป หรือปุริสภาวทสกกลาป กลาปใดกลาปหนึ่ง), จิตตชกลาป ๖, อุตุชกลาป ๔, อาหารชกลาป ๒, แต่เมื่อนับรวมรูป (ซ้ำไม่นับ) ก็ได้ครบทั้ง ๒๗ รูป คือ ต้องเว้นภาวรูป รูปใดรูปหนึ่งเสีย ๑ รูป

      . สังเสทชกำเนิด และ โอปปาติกกำเนิด ถ้าเกิดในกามภูมิ

       ในปฏิสนธิกาล ก็มีกัมมชกลาปเกิดได้ทั้ง ๘ กลาป (เว้นภาวทสกกลาปเสีย ๑ กลาป เพราะคงมีได้แต่เพียงกลาปเดียว) รวม ๗๙ รูป แต่ถ้านับรวมรูป (ซ้ำไม่ นับ) ก็ได้ ๑๙ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘, ชีวิตรูป ๑, ปสาทรูป ๕, หทยรูป ๑, ภาวรูป (รูปใดรูปเดียว) , ปริจเฉทรูป ๑, อุปจยรูป ๑, และ สันตติรูป ๑

       รูปที่เกิดไม่ได้ในปฏิสนธิกาล ๙ รูป คือ สัททรูป ๑, ภาวรูป (รูปใดรูปเดียว) , วิญญัตติรูป ๒, วิการรูป ๓, ชรตารูป ๑, อนิจจตารูป ๑

       ในปวัตติกาล ถ้าไม่บกพร่องเลย ก็มีรูปเกิดได้ครบทั้ง ๒๗ รูป (เว้นภาวรูป รูปใดรูปหนึ่งเสีย ๑ รูป)

       อนึ่ง โอปปาติกกำเนิด ที่เกิดในกามภูมิ เฉพาะสัตว์นรก และนิชฌามตัณหิก เปรตนั้น ภาวรูปไม่มีทั้ง ๒ รูป เพราะสัตว์ ๒ จำพวกนี้ ไม่มีเพศ

       ๑๐. โอปปาติกกำเนิด ที่เกิดในรูปพรหม ๑๕ ภูมิ (เว้นอสัญญสัตตภูมิ)

       ในปฏิสนธิกาล มีรูปเกิดได้ ๔ กลาป คือ จักขุทสกกลาป มีรูป ๑๐ รูป, โสตทสกกลาป มีรูป ๑๐ รูป, หทยทสกกลาป มีรูป ๑๐ รูป, ชีวิตนวกกลาป มีรูป ๙ รูป รวมเป็น ๓๙ รูป แต่ถ้านับรวมรูป (ซ้ำไม่นับ) แล้วคงได้ ๑๕ รูป คือ อวินิพโภครูป ๘, จักขุปสาทรูป ๑, โสตปสาทรูป ๑, หทยรูป ๑, ชีวิตรูป ๑, ปริจ เฉทรูป ๑, อุปจยรูป ๑, สันตติรูป ๑

       ในปวัตติกาล มีรูปเกิดได้อีก คือ สัททรูป ๑, วิญญัตติรูป ๒, วิการรูป ๓, ชรตารูป ๑, อนิจจตารูป ๑ รวม ๘ รูป

       ส่วนรูปที่มีไม่ได้ เกิดไม่ได้เลย ไม่ว่าในปฏิสนธิกาล หรือในปวัตติกาลนั้น คือ ฆานปสาทรูป ๑, ชิวหาปสาทรูป ๑, กายปสาทรูป ๑ ,ภาวรูป ๒ รวม ๕ รูป

      ๑๑. โอปปาติกกำเนิด ที่เกิดในอสัญญสัตตภูมิ ๑ ภูมิ นั้น

       ในปฏิสนธิกาล มีรูปเกิดได้กลาปเดียว คือ ชีวิตนวกกลาป มีรูป ๙ รูป ได้แก่ อวินิพโภครูป ๘  ชีวิตรูป ๑

       แต่เมื่อนับรูปทั้งหมดแล้ว ก็ต้องนับปริจเฉทรูป ๑, อุปจยรูป ๑ และสันตติ รูป ๑ ซึ่งไม่นับเป็นองค์ของกลาปนั้นเพิ่มเข้าไปอีกด้วย จึงเป็นรูปที่เกิดได้ใน ปฏิสนธิกาล เป็นจำนวน ๑๒ รูป

       ในปวัตติกาล มีรูปเกิดได้อีก ๕ รูป คือ วิการรูป ๓, ชรตารูป ๑ และ อนิจจตารูป ๑

       ๑๒. โอปปาติกกำเนิด ที่เกิดในอรูปพรหมนั้น ไม่มีรูปเกิดเลย

?????? ?????????? ???????????????????? ???...
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
ศีล สมาธิ ปัญญา... หนทางสายเอก...