ปริจเฉทที่ ๗ สมุจจยสังคหวิภาค

หน้าที่ : 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74
75
76 77 78 79 80 81 82 83 ค้นหาหัวข้อธรรม

ละความชั่วทั้งปวง ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ใสบริสุทธิ์...

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติตั้งมั่นพิจารณาเนือง ๆ ซึ่งกาย คือ การกำหนด ให้เห็นรูปธรรมนั้น มี ๑๔ บรรพ ได้แก่

บรรพที่ ๑ อานาปานสติ ได้แก่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

บรรพที่ ๒ อิริยาบถ ๔ ได้แก่ เดิน ยืน นั่ง นอน ซึ่งบางครั้งก็เรียกว่า อิริยาบถใหญ่

บรรพที่ ๓ สัมปชัญญะ ๗ ได้แก่

() ก้าวไปข้างหน้า และถอยไปข้างหลัง

() แลไปข้างหน้า เหลียวไปข้างซ้าย เหลียวไปข้างขวา

() คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก

() กิริยาที่นุ่งผ้า ห่มผ้า และใช้เครื่องใช้สอยอื่น ๆ

() การเคี้ยว การกิน การดื่ม

() การถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ

() อาการเดิน ยืน นั่ง นอน จะหลับ เวลาที่ตื่นขึ้น การพูด การนั่ง

สัมปชัญญะ ๗ นี้ บางทีก็เรียกว่า อิริยาบถย่อย305.JPG (7866 bytes)

บรรพที่ ๔ ปฏิกูลสัญญา ได้แก่ อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ เป็นต้น

บรรพที่ ๕ ธาตุทั้ง ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม

บรรพที่ ๖ อสุภะ ที่ตายได้เพียง ๑, , ๓ วัน

บรรพที่ อสุภะ ที่สัตว์กำลังกัดกินอยู่

บรรพที่ ๘ อสุภะ ที่เป็นกระดูก ยังมีเลือดเนื้อติดอยู่

บรรพที่ ๙ อสุภะ ที่ปราศจากเนื้อ มีแต่เส้นเอ็นยึดให้คงรูปอยู่

บรรพที่ ๑๐ อสุภะ ที่เหลือแต่โครงกระดูก ซึ่งยังคงเป็นรูปร่างอยู่

บรรพที่ ๑๑ อสุภะ ที่กระดูกเป็นท่อน ๆ เช่น ท่อนแขน ท่อนขา กระจัด กระจายอยู่

บรรพที่ ๑๒ อสุภะ ที่เก่ามาก จนกระดูกเป็นสีขาวเหมือนสังข์

บรรพที่ ๑๓ อสุภะ ที่ตากลมตากฝนมาตั้ง ๓ ปีแล้ว เหลือแต่กระดูกเป็น ชิ้น ๆ กระจัดกระจาย

บรรพที่ ๑๔ อสุภะ ที่กระดูกผุป่น ไม่เป็นรูปเป็นร่าง จนเป็นผงแล้ว306.JPG (7348 bytes)

บรรพที่ ๑ อานาปานสติ นี้เจริญได้ทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา กล่าวคือ

ถ้ากำหนดพิจารณาลมหายใจเข้า ลมหายใจออก โดยถือเอาบัญญัติ คือลม เป็นที่ตั้งแห่งการเพ่ง เพื่อให้ได้ฌาน ก็เป็นสมถภาวนา

แต่ถ้ากำหนดพิจารณาความร้อนเย็นของลมหายใจที่กระทบริมฝีปากบน หรือ ที่ปลายจมูก เพื่อให้เห็นรูปธรรม ตลอดจนไตรลักษณ์ ก็เป็นวิปัสสนาภาวนา

บรรพที่ ๒ อิริยาบถ ๔ บรรพที่ ๓ สัมปชัญญะ ๗ และบรรพที่ ๕ ธาตุ ทั้ง ๔ รวม ๓ บรรพนี้ ใช้ในการเจริญวิปัสสนาภาวนาแต่อย่างเดียว จะเพ่งให้เกิด ฌานจิตไม่ได้

บรรพที่ ๔ ปฏิกูลสัญญา และบรรพที่ ๖ ถึง ๑๔ อสุภะ รวม ๑๐ บรรพนี้ ใช้ในการเจริญสมถภาวนาแต่อย่างเดียวเท่านั้น

อนึ่งบรรพที่ ๓ สัมปชัญญะ ๗ นั้น มีความหมายว่า ผู้บำเพ็ญเพียรภาวนา เดินไปข้างหน้า ถอยหลัง เหลียวซ้าย แลขวา ตลอดจนการเคลื่อนไหวทำการใด ๆ จะต้องทำด้วยความมีสัมปชัญญะ คือรู้ตัวอยู่ทุกขณะที่เคลื่อนไหวไม่ใช่ทำไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้พินิจพิเคราะห์

อีกนัยหนึ่ง สัมปชัญญะคือการรู้ตัวนั้น ต้องมีสติและชอบด้วยเหตุผล ไม่ใช่ ทำไปตามอารมณ์หรือทำไปตามใจชอบ แต่ต้องมีทั้งสติและปัญญาด้วย จึงจะเรียก ได้ว่า มีสติสัมปชัญญะ307.JPG (11505 bytes)

สัมปชัญญะ มี ๔ ประการ ใน สีลขันธอรรถกถา แสดงไว้ว่า

อตฺถปริคฺคณฺหนํ สตฺถกสมฺปชญฺญํ นาม ฯ ธรรมชาติ(ปัญญา) ที่กำหนดรู้ แต่ในประโยชน์นั้น ได้นามว่า สัตถกสัมปชัญญะ

สปฺปาย ปริคฺคณฺหนํ สปฺปายสมฺปชญฺญํ นาม ฯ ธรรมชาติ(ปัญญา) ที่ กำหนด แต่การที่ควรนั้น ได้นามว่า สัปปายสัมปชัญญะ

กมฺมฏฺฐานสฺส ปน อวิชหน เมว โคจรสมฺปชญฺญํ นาม ฯ การเจริญที่มิให้ พ้นจากอารมณ์กัมมัฏฐานนั้น ได้นามว่า โคจรสัมปชัญญะ

อภิกฺกมาทีสุ อสมฺมุยฺหนํ อสมฺโมหสมฺปชญฺญํ นาม ฯ ธรรมชาติ(ปัญญา) ที่รู้ในการเคลื่อนไหว โดยปราศจากการเคลือบแคลงนั้น ได้นามว่า อสัมโมห สัมปชัญญะ

ดังนี้ จึงแสดงความหมายแห่งสัมปชัญญะ ๔ นี้ โดยย่อ ๆ ว่า

๑. สัตถกสัมปชัญญะ พินิจประโยชน์ รู้แน่ว่ามีประโยชน์จึงทำ

๒. สัปปายสัมปชัญญะ พินิจถึงการควร รู้แน่ว่าควรทำจึงทำ

๓. โคจรสัมปชัญญะ พินิจในอารมณ์   ไม่ให้คลาดไปจากอารมณ์กัมมัฏฐาน นั้น ๆ

๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ พินิจถึงไตรลักษณ์ รู้การเคลื่อนไหวโดยปราศจาก การเคลือบแคลง308.JPG (5153 bytes)

การตั้งสติพินิจกาย ที่เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นวิธีการเบื้องต้น ในการเจริญวิปัสสนาภาวนา เพื่อให้เห็นรูปธรรม

อันว่า กาย คือ รูปกายหรือสังขารนี้ เป็นที่ประชุมแห่งธรรม ๓ ประการ คือ รูปธรรม ที่มีชื่อเรียกว่า กัมมชรูป ประการหนึ่ง จิต ที่มีชื่อเรียกว่า วิบากจิต ประการหนึ่ง และ เจตสิก ที่ประกอบกับจิตนั้น อีกประการหนึ่ง

ในชั้นต้นนี้ ให้กำหนดดูเฉพาะรูปธรรมแต่อย่างเดียวก่อน เพราะรูปเป็นของ หยาบ เห็นได้ง่าย ยังไม่ต้องพินิจพิจารณาจิตและเจตสิก ซึ่งเห็นได้ยากกว่า

การกำหนดดูรูป ก็เพื่อจะได้รู้เห็นว่า ตามที่ได้เคยยึดถือรูปกายนี้ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลมีตัวตนเราเขานั้น แท้ที่จริงก็เป็นแต่เพียงรูปธรรมมาประชุมร่วมกันเป็น รูปกาย แม้การเคลื่อนไหวกาย เช่นการเดิน เป็นต้น ก็สักแต่ว่าที่ประชุมแห่งรูป คือ รูปกายนี้ สังขารนี้ กัมมชรูปนี้ เคลื่อนไหวไปด้วยอำนาจแห่งวาโยธาตุ ซึ่งก็เป็นรูป อีกชนิดหนึ่งที่เกิดจากจิต หาใช่ว่าเราเดินเขาเดินไม่ การรู้เช่นนี้ ชื่อว่าได้เกิดปัญญา รู้เห็นถูกต้องตรงตามสภาพแห่งความเป็นจริงส่วนหนึ่งแล้ว

ที่ว่าการเคลื่อนไหวกายเช่น การเดิน เป็นต้น เคลื่อนไหวไปด้วยอำนาจแห่ง วาโยธาตุนั้น สติปัฏฐานอรรถกถาแสดงว่า

การเดิน จิตฺตกฺริยวาโยธาตุ วิปฺผาเรน สกลกายสฺส ปุรโต อภินิหาโร คมนนฺติ วุจฺจติ ฯ วาโยธาตุอันเกิดแต่จิต ที่ซ่านไปทั่วสกลกาย ยังให้เคลื่อนไหว นั้น เรียกว่า เดิน (คมนะ)

โกคจฺฉติ ใครเดิน รูปนามเดิน

กสฺสคมนํ อาการเดินของใคร อาการของจิตตชวาโยธาตุ

กึ กรณาคจฺฉติ เดินเพราะเหตุใด เพราะอำนาจของจิตตชวาโยธาตุ309.JPG (6333 bytes)

การยืน จิตฺตกฺริยวาโยธาตุ วิปฺผาเรน สกลกายสฺส โกฏิโต ปฏฺฐาย อุสฺสิต ภาโว ฐานนฺติ วุจฺจติ ฯ วาโยธาตุอันเกิดแต่จิต ที่ซ่านไปทั่วสกลกายยังให้เคร่งตึง นั้น เรียกว่า ยืน (ฐานะ)

โกติฏฺฐติ ใครยืน รูปนามยืน

กสฺสติฏฺฐนํ อาการยืนของใคร อาการของจิตตชวาโย

กึ กรณาติฏฺฐติ ยืนเพราะเหตุใด เพราะอำนาจของจิตตชวาโยธาตุ

การนั่ง จิตฺตกฺริยวาโยธาตุ วิปฺผาเรน เหฏฺฐิมกายสฺส สมิญฺชนํ อุปริม กายสฺส อุสฺสิตภาโว นิสชฺชนาติ วุจฺจติ ฯ วาโยธาตุอันเกิดแต่จิต ที่ซ่านไปทั่ว สกลกาย ยังให้ส่วนล่างจด และส่วนบนตั้งตรงนั้น เรียกว่า นั่ง (นิสัชชะ)

โกนิสีทติ ใครนั่ง รูปนามนั่ง

กสฺสนิสีทนํ อาการนั่งของใคร อาการของจิตตชวาโยธาตุ

กึ กรณานิสีทติ นั่งเพราะเหตุใด เพราะอำนาจของจิตตชวาโยธาตุ

การนอน จิตฺตกฺริยวาโยธาตุ วิปฺผาเรน สกลสรีรสฺส ติริยโต นิสารณํ สยนนฺติ วุจฺจติฯ วาโยธาตุอันเกิดแต่จิต ที่ซ่านไปทั่วสกลกาย ยังให้ยาวเหยียด นั้น เรียกว่า นอน(สยนะ)

โกสยติ ใครนอน รูปนามนอน

กสฺสสยนํ อาการนอนของใคร อาการของจิตตชวาโยธาตุ

กึ กรณาสยติ นอนเพราะเหตุใด เพราะอำนาจของจิตตชวาโยธาตุ 310.JPG (7669 bytes)

ที่แสดงเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้ตระหนักว่า การเดิน ยืน นั่ง นอน นั้นเป็นแต่ ความเคลื่อนไหวอันเกิดจากธาตุลมที่มีอยู่ในร่างกาย โดยบัญชาของจิตสั่งให้เป็นไป ไม่มีตัวตน บุคคลสัตว์มาบงการให้เป็นไปแต่อย่างใด อุปมาเช่นเดียวกันกับที่เห็น รถยนต์แล่นไปมา ซึ่งความจริงที่รถแล่นไปมาได้นั้น ไม่ใช่ความสามารถของรถยนต์ หากแต่รถนั้นแล่นไปมาด้วยอำนาจของเครื่องจักรกลที่มีอยู่ในตัวรถ โดยมีผู้ขับคอย บังคับบัญชาให้เป็นไปตามความต้องการฉันใด สังขารร่างกายนี้ที่เคลื่อนไหวได้ ก็ อุปไมยฉันนั้น

มหาสติปัฏฐานสูตร ซึ่งเป็นคัมภีร์หนึ่งใน ทีฆนิกาย แห่งพระสุตตันตปิฎก แสดงไว้ว่า

อิธ ภิกฺขเว ภิกฺขุ กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํฯ

แปลความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันว่าภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้พิจารณากาย ในกายอยู่ เป็นผู้มีความขะมักเขม่น รู้ตัวอยู่ มีสติอยู่ ย่อมกำจัดซึ่ง อภิชฌาและ โทมนัส ในโลกเสียได้

อิติ อชฺฌตฺตํ วา กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ พหิทฺธา วา กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ อชฺฌตฺตพหิทฺธา วา กาเย กายานุปสฺสี วิหรติ ฯลฯ

แปลความว่า ภิกษุนั้น เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอันเป็นภายในอยู่ด้วย ประการดังนี้ก็ดี พิจารณาเห็นกายในกายอันเป็นภายนอกอยู่ก็ดี พิจารณาเห็นกายใน กายทั้งที่เป็นภายใน ทั้งที่เป็นภายนอกอยู่ก็ดี ฯลฯ311.JPG (7458 bytes)

คำว่า “กายในกาย” และคำว่า “กายในกายอันเป็นภายใน กายในกายอันเป็น ภายนอก” นี้ มีอธิบายกันเป็นหลายนัย เป็นต้นว่า

๑. กาเย กายานุปัสสี เห็นกายในกาย คำว่า กาเย หมายถึง รูปกาย คือ กัมมชรูปนี้ สังขารนี้ ซึ่งมีทั้งจิต เจตสิก และรูป ส่วนคำว่า กายานุปัสสี หมาย เพียงให้เห็นให้กำหนดดูแต่รูปธรรมเท่านั้น คือให้กำหนดดูเฉพาะรูปอย่างเดียว ไม่ใช่ให้ดูจิต เจตสิก ที่มีอยู่ในสังขารร่างกายนี้ด้วย

. กายในกาย หมายตรง ๆ ว่า รูปในรูป ซึ่งกล่าวเฉพาะรูปธรรมที่มีใน สังขารร่างกาย คือ กัมมชรูปนี้ ก็มากมายหลายรูป แต่ก็ให้ดูเพียงรูปเดียวในหลาย ๆ รูปนั้น เช่นการพิจารณาลมหายใจเข้าลมหายใจออก ก็ได้กำหนดดูวาโยธาตุแต่รูป เดียวหรือกำหนดความเย็นความร้อนของลมหายใจ คือเตโชธาตุ แต่รูปเดียวเท่านั้น

. ในทำนองเดียวกัน กับการพิจารณาลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ถ้า พิจารณาอิริยาบถเดิน คือการเคลื่อนไปแห่งสังขารร่างกายนี้ ก็ให้กำหนดดูวาโยธาตุ แต่รูปเดียว ซึ่งเป็นรูปที่สามารถทำให้กัมมชรูป คือสังขารร่างกายนี้เคลื่อนไหวไปได้

. แม้ในอิริยาบถเดิน ซึ่งมีวาโยธาตุสามารถทำให้รูปกายเคลื่อนไปได้นั้น ก็ ยังมีรูปที่อุปการะให้สำเร็จในการเดินอีกหลายรูป คือ เวลายกเท้าขึ้นก็ยกด้วยอำนาจ แห่งเตโชธาตุ เวลาเคลื่อนเท้าก้าวสืบไป ก็ด้วยอำนาจแห่งวาโยธาตุ เวลาที่หย่อน เท้าลงยังพื้น ก็ด้วยอำนาจแห่งอาโปธาตุ และเวลาที่เหยียบเท้าลงถึงพื้น ก็ด้วย อำนาจแห่งปฐวีธาตุ กล่าวอย่างสั้น ๆ ให้จำได้ง่าย ๆ ก็ว่า ยกไฟ ไปลม จมน้ำ   ย่ำดิน ดังนี้ จะเห็นได้ว่า ให้กำหนดดูรูปเดินคือ วาโยธาตุแต่รูปเดียวในรูปทั้งหลาย ที่กล่าวแล้วนี้

. ส่วนคำว่า กายในกายอันเป็นภายใน และกายในกายอันเป็นภายนอกนั้น เช่นการพิจารณาลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่เป็นไปในรูปกายนี้ ก็เป็นภายใน ลม หายใจเข้าลมหายใจออกที่เป็นไปในรูปกายอื่น ก็เป็นภายนอก

ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ก็เป็นไปในสังขารนี้เป็นฉันใด ที่เป็นไปใน สังขารอื่นก็เป็นฉันนั้น ดังนี้เป็นต้น


?????? ?????????? ???????????????????? ???...
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
ศีล สมาธิ ปัญญา... หนทางสายเอก...