ปริจเฉทที่ ๗ สมุจจยสังคหวิภาค

หน้าที่ : 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74
75
76 77 78 79 80 81 82 83 ค้นหาหัวข้อธรรม

ละความชั่วทั้งปวง ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ใสบริสุทธิ์...

โพธิปักขิยสังคหะกองที่ ๕ พละ ๕

พละในโพธิปักขิยสังคหะนี้ หมายเฉพาะกุสลพละ ซึ่งมีลักษณะ ๒ ประการ คืออดทนไม่หวั่นไหวประการหนึ่ง และย่ำยีธรรมที่เป็นข้าศึกอีกประการหนึ่ง ดังนั้น พละในโพธิปักขิยธรรม จึงมีเพียง ๕ ประการ คือ

. สัทธาพละ ความเชื่อถือเลื่อมใส เป็นกำลังทำให้อดทนไม่หวั่นไหว และ ย่ำยีตัณหาอันเป็นข้าศึก องค์ธรรมได้แก่ สัทธาเจตสิก ที่ใน ติเหตุกชวนจิต ๓๔

ปกติสัทธา เป็นสัทธาที่ยังปะปนกับตัณหา หรือเป็นสัทธาที่อยู่ใต้อำนาจของ ตัณหา จึงยากที่จะอดทนได้ ส่วนมากมักจะอ่อนไหวไปตามตัณหาได้โดยง่าย อย่างที่ ว่า สัทธากล้า ก็ตัณหาแก่

ส่วน ภาวนาสัทธา ซึ่งเป็นสัทธาที่เกิดมาจากอารมณ์กัมมัฏฐาน จึงอดทน ไม่หวั่นไหว และย่ำยีหรือตัดขาดจากตัณหาได้

. วิริยพละ ความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด เป็นกำลังทำให้อดทนไม่หวั่น ไหว และย่ำยีโกสัชชะ คือความเกียจคร้านอันเป็นข้าศึก องค์ธรรมได้แก่ วิริยเจตสิก ที่ในติเหตุกชวนจิต ๓๔

ความเพียรอย่างปกติตามธรรมดาของสามัญชน ยังปะปนกับโกสัชชะอยู่ ขยัน บ้าง เนือย ๆ ไปบ้าง จนถึงกับเกียจคร้านไปเลย แต่ว่าถ้าความเพียรอย่างยิ่งยวด แม้เนื้อจะเหือดเลือดจะแห้ง ก็ไม่ยอมท้อถอยแล้ว ย่อมจะอดทนไม่หวั่นไหวไป จนกว่าจะเป็นผลสำเร็จ และย่ำยีความเกียจคร้านได้แน่นอน330.JPG (6783 bytes)

. สติพละ ความระลึกได้ในอารมณ์สติปัฏฐานเป็นกำลัง ทำให้อดทนไม่ หวั่นไหว และย่ำยี มุฏฐสติ คือ ความพลั้งเผลอหลงลืม อันเป็นข้าศึก องค์ธรรม ได้แก่ สติเจตสิก ที่ใน ติเหตุกชวนจิต ๓๔

. สมาธิพละ ความตั้งใจมั่นอยู่ในอารมณ์กัมมัฏฐาน เป็นกำลังให้อดทน ไม่หวั่นไหว และย่ำยี วิกเขปะ คือ ความฟุ้งซ่าน อันเป็นข้าศึก องค์ธรรมได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ที่ใน ติเหตุกชวนจิต ๓๔

. ปัญญาพละ ความรอบรู้เหตุผลตามความเป็นจริง เป็นกำลัง ทำให้อดทน ไม่หวั่นไหว และย่ำยี สัมโมหะ คือความมืดมน หลงงมงาย อันเป็นข้าศึก องค์ธรรม ได้แก่ ปัญญาเจตสิก ที่ใน ติเหตุกชวนจิต ๓๔

การเจริญสมถภาวนาก็ดี วิปัสสนาภาวนาก็ดี จะต้องให้พละทั้ง ๕ นี้สม่ำ เสมอกัน จึงจะสัมฤทธิผล ถ้าพละใดกำลังอ่อน การเจริญสมถะหรือวิปัสสนานั้น ก็ตั้งมั่นอยู่ไม่ได้ ถึงกระนั้นก็ยังได้ผลตามสมควร คือ

. ผู้มีกำลังสัทธามาก แต่พละอีก ๔ คือ วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นั้น อ่อนไป ผู้นั้นย่อมรอดพ้นจากตัณหาได้บ้าง โดยมีความอยากได้โภคสมบัติน้อยลง ไม่ถึงกับแสวงหาในทางทุจริต มีความสันโดษ คือ สนฺตุฏฺฐี พอใจเท่าที่มีอยู่ พอใจ แสวงหาตามควรแก่กำลัง และ พอใจแสวงหาด้วยความสุจริต

. ผู้ที่มีกำลังสัทธาและวิริยะมาก แต่พละที่เหลืออีก ๓ อ่อนไป ผู้นั้นย่อม รอดพ้นจากตัณหาและโกสัชชะได้ แต่ว่าไม่สามารถที่จะเจริญ กายคตาสติ และ วิปัสสนาภาวนาจนเป็นผลสำเร็จได้

. ผู้ที่มีกำลังสัทธา วิริยะและสติมาก แต่พละที่เหลืออีก ๒ อ่อนไปผู้นั้น  ย่อมสามารถเจริญกายคตาสติได้ แต่ว่าเจริญวิปัสสนาภาวนาไม่สำเร็จได้

. ผู้ที่มีกำลังทั้ง ๔ มาก แต่ว่าปัญญาอ่อนไป ย่อมสามารถเจริญฌาน สมาบัติได้ แต่ไม่สามารถเจริญวิปัสสนาภาวนาได้

. ผู้ที่มีปัญญาพละมาก แต่พละอื่น ๆ อ่อนไป ย่อมสามารถเรียนรู้พระปริยัติ หรือพระปรมัตถได้ดี แต่ว่า ตัณหา โกสัชชะ มุฏฐะ และ วิกเขปะ เหล่านี้มีกำลัง ทวีมากขึ้น331.JPG (6345 bytes)

. ผู้ที่มีวิริยะพละและปัญญาพละ เพียง ๒ อย่างเท่านี้ แต่เป็นถึงชนิด อิทธิบาทโดยบริบูรณ์แล้ว การเจริญวิปัสสนาก็ย่อมปรากฏได้

. ผู้ที่บริบูรณ์ด้วย สัทธา วิริยะ และสติพละ ทั้ง ๓ นี้ย่อมสามารถที่จะ ทำการได้ตลอดเพราะ

สัทธาพละ                    ย่อมประหาร                    ปัจจยามิสสตัณหาและโลกามิสสตัณหาได้

วิริยพละ                    ย่อมประหาร                    โกสัชชะได้ (ความเกียจคร้าน)

สติพละ                    ย่อมประหาร                    มุฏฐสติ (ความหลงลืม) ได้

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อจากนั้น สมาธิพละและปัญญาก็จะปรากฏขึ้นตามกำลัง ตามสมควร

ปัจจยามิสสตัณหา คือ ความติดใจอยากได้ปัจจัย ๔ มี อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค

โลกามิสสตัณหา คือ ความติดใจอยากได้โลกธรรม ๔ มี ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข


?????? ?????????? ???????????????????? ???...
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
ศีล สมาธิ ปัญญา... หนทางสายเอก...