ปริจเฉทที่ ๘ ปัจจยสังคหวิภาค
หน้าที่
: 1 2
3 4 5 6 7
8 9 10 11 12
13 14 15 16 17
18 19 20 21 22
23 24 25
26 27 28 29 30 31 32
33 34 35 36 37 38 39
40 41 42 43 44 45 46
47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57
58 59 60 61 62 63 64
65 66 67 68 69 70 71
72 73 74
75
76 77 78 79 80 81
82 83 84 85 86 87 88 89
90 91 92 93 94 95 96 ค้นหาหัวข้อธรรม
ข้อความเพิ่มเติมที่เกี่ยวแก่อวิชชา
มีข้อความบางประการที่เกี่ยวแก่อวิชชา
ซึ่งเป็นข้อที่ควรจะทราบไว้ด้วยดัง
ต่อไปนี้ คือ
๑.
อวิชชา
อันได้แก่ โมหเจตสิกนี้
มีสภาพหรือมีลักษณะแต่อย่างเดียว
คือ
ไม่รู้เหตุผลตามความเป็นจริงของธรรมทั้งปวง
ถึงกระนั้นก็อาจจะกล่าวได้ตามสิ่งที่
ไม่รู้นั้นว่า
อวิชชามีหลายอย่าง
เป็นต้นว่า
อวิชชา
มี ๒ อย่าง คือ
ไม่รู้ในข้อปฏิบัติที่ผิด ๑
และไม่รู้ในข้อปฏิบัติที่ถูก
๑
หรือไม่รู้ธรรมที่เป็นสังขาร
๑
และไม่รู้ธรรมที่เป็นวิสังขาร
๑
ถ้าจะนับว่า
อวิชชา มี ๓ ก็หมายถึงว่า
ไม่รู้ความจริงในเวทนาทั้ง ๓
มี สุขเวทนา เป็นต้น
จึงทำให้เกิดมีความวิปลาสขึ้น
ถ้าจะนับว่าอวิชชา
มี ๔ ก็เพราะไม่รู้อริยสัจจธรรมทั้ง
๔ มีทุกขสัจจ เป็นต้น
ถ้าจะนับว่า
อวิชชา มี ๕
ก็เพราะไม่รู้ความจริงแห่งทุกข์โทษภัยที่เป็นไปใน
คติทั้ง ๕ (นิรยคติ
เปตคติ ดิรัจฉานคติ มนุสสคติ
เทวคติ)
ซึ่งยังต้องวนเวียนอยู่ใน
กองทุกข์
ถ้าจะนับ
อวิชชามี ๖
ก็เพราะไม่รู้ความจริงในอารมณ์
๖ ในวิญญาณทั้ง ๖
ว่าเป็นของไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
๒.
อวิชชากับพระอรหันต์มีปัญหาว่าการกระทำใด
ๆ ของพระอรหันต์นั้น
เป็นกิริยาคือ
ไม่เป็นบุญและไม่เป็นบาป
เพราะพระอรหันต์ทำลายอวิชชาคือ
โมหะ ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว
เป็นอันว่า สังขารทั้ง ๓
ที่เป็นบุญและเป็นบาปนั้น
ย่อมถูก ทำลายไปด้วย
ดังนี้ก็หมายความว่า
นอกจากพระอรหันต์ไม่ทำบาปแล้ว
บุญต่าง ๆ เช่น ทาน สีล ภาวนา
ก็ไม่กระทำด้วยเช่นนั้นหรือ
ความจริงพระอรหันต์ทั้งหลายก็บำเพ็ญ
ทาน สีล ภาวนา อยู่เป็นนิจ
ที่พระ
อรหันต์กระทำไปนั้นไม่จัดว่าเป็น
บุญญาภิสังขาร หรือ อาเนญชาภิสังขาร
อันเป็น
ผลของอวิชชาตามนัยแห่งปฏิจจสมุปปาทธรรมนี้
เพราะการกระทำของพระอรหันต์
นั้นเป็นกิริยาจิต
ไม่มีการให้ผลในวัฏฏสงสารอีกต่อไป
จึงได้ชื่อว่า พระอรหันต์
ท่านบำเพ็ญธรรมจนสิ้นบาปและหมดทั้งบุญด้วย
ส่วนผู้ที่ยังมีบุญมีบาปอยู่
ผู้นั้นจะ ต้องวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏไม่มีที่สิ้นสุด
๓.
อวิชชา
กับ อริยสัจจ
อวิชชา
เป็นทุกขสัจจ เกิดพร้อมกับทุกขสัจจ
กระทำทุกขสัจจให้เป็นอารมณ์
ได้ ทั้งปกปิดไม่ให้เห็นทุกขสัจจด้วย
อวิชชา
ไม่ใช่สมุทยสัจจ
จะสงเคราะห์เป็นสมุทยสัจจก็ไม่ได้
แต่อวิชชานี้เกิด พร้อมกับสมุทยสัจจ
กระทำสมุทยสัจจให้เป็นอารมณ์ได้
และปกปิดไม่ให้เห็น สมุทยสัจจด้วย
อวิชชา
ไม่ใช่นิโรธสัจจ
สงเคราะห์เป็นนิโรธสัจจก็ไม่ได้
เกิดพร้อมกับนิโรธ สัจจก็ไม่ได้
กระทำนิโรธสัจจให้เป็นอารมณ์ก็ไม่ได้
แต่สามารถปกปิดไม่ให้เห็น
นิโรธสัจจ
อวิชชา ไม่ใช่มัคคสัจจ สงเคราะห์เป็นมัคคสัจจไม่ได้ เกิดพร้อมกับมัคคสัจจ ไม่ได้ กระทำมัคคสัจจให้เป็นอารมณ์ก็ไม่ได้ แต่ปกปิดไม่ให้เห็นมัคคสัจจได้
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ