ปริจเฉทที่ ๙ กัมมัฏฐานสังคหวิภาค
หน้าที่
: 1 2
3 4 5 6 7
8 9 10 11 12
13 14 15 16 17
18 19 20 21 22
23 24 25
26 27 28 29 30 31 32
33 34 35 36 37 38 39
40 41 42 43 44 45 46
47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57
58 59 60 61 62 63 64
65 66 67 68 69 70 71
72 73 74 75
76 77 78 79 80 81
82 83 84 85 86 87 88 89
90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100
101 102 103 104 105 106 107 108
109 110 111 112 113 114 115 116 117
118 119 120 121 122
123 124 125 126 ค้นหาหัวข้อธรรม
จำแนกพระอริยะแต่ละชั้น
พระอริยบุคคล
คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี
พระอนาคามี และพระอรหันต์ นี้
ยังมีการจำแนกอีกนัยหนึ่งดังต่อไปนี้
พระโสดาบัน
จำแนกได้เป็น ๓ จำพวก คือ
๑.
เอกพีชีโสดาบัน เป็นพระโสดาบันที่มีพืชกำเนิดอีกเพียงหนึ่งเท่านั้น
หมายความว่า
พระโสดาบันนั้นเมื่อจุติแล้ว
จะต้องปฏิสนธิเป็นมนุษย์หรือเทวดาอีกชาติเดียว
ก็จะบรรลุอรหัตตมัคคอรหัตตผล
๒.
โกลังโกลโสดาบัน
คือ
พระโสดาบันผู้ที่จะต้องปฏิสนธิในกามภูมิอีก
ในระหว่าง ๒ ถึง ๖ ชาติ
จึงจะบรรลุอรหัตตผล
๓.
สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน
คือ
พระโสดาบันผู้ที่จะต้องปฏิสนธิในกามภูมิอีกถึง
๗ ชาติ จึงจะบรรลุอรหัตตผล
ที่แตกต่างกันเช่นนี้
เป็นเพราะอินทรียแก่กล้ายิ่งหย่อนกว่ากัน
จึงทำให้ความมุ่งมั่นในการบรรลุอรหัตตมัคคอรหัตตผลนั้นเนิ่นนานกว่ากันไปด้วย
แต่อย่างไรก็ดี
พระโสดาบันก็ไม่ต้องปฏิสนธิในชาติที่
๘
เพราะแม้จะเป็นผู้ที่เพลิดเพลินมีความประมาทอยู่บ้าง
ก็ต้องบรรลุอรหัตตผลในชาติที่ ๗
อย่างแน่นอน
พระสกทาคามี
จำแนกได้เป็น ๕ จำพวก คือ
๑.
อิธ
ปตฺวา อิธ ปรินิพฺพายี
เป็นพระสกทาคามีที่บรรลุสกทาคามิผลในมนุษยโลก
และจะปรินิพพานในมนุษยโลกนี้
๒.
ตตฺถ
ปตฺวา ตตฺถ ปรินิพฺพายี
เป็นพระสกทาคามีที่บรรลุสกทาคามิผลในเทวโลก
และปรินิพพานในเทวโลกนั้น
๓.
อิธ
ปตฺวา ตตฺถ ปรินิพฺพายี
สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลกนี้
แต่ไปปรินิพพานในเทวโลกโน้น
๔.
ตตฺถ
ปตฺวา อิธ ปรินิพฺพายี
สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในเทวโลกโน้น
และมาปรินิพพานในมนุษยโลกนี้
๕.
อิธ
ปตฺวา ตตฺถ นิพฺพตฺติตฺวา อิธ
ปรินิพฺพายี
สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลกนี้
ไปบังเกิดในเทวโลกโน้น
แล้วกลับมาปรินิพพานในมนุษยโลกนี้
พระอนาคามี
จำแนกได้เป็น
๕ จำพวก คือ
๑.
อนฺตรปรินิพฺพายี
พระอนาคามี
ผู้ถึงซึ่งปรินิพพานในกึ่งแรกแห่งอายุกาลในภูมินั้น
๒.
อุปหจฺจปรินิพฺพายี
พระอนาคามี
ผู้ถึงซึ่งปรินิพพานในกึ่งหลังแห่งอายุกาลในภูมินั้น
๓.
อสงฺขารปรินิพฺพายี
พระอนาคามี
ผู้ไม่ต้องใช้ความเพียรอย่างแรงกล้า
ก็ถึงซึ่งปรินิพพาน
๔.
สสงฺขารปรินิพฺพายี
พระอนาคามี ผู้ต้องขะมักเขม้น
พากเพียรอย่างแรงกล้า
จึงจะถึงซึ่งปรินิพพาน
๕.
อุทฺธํโสตอกนิฏฐคามี
พระอนาคามี
ผู้มีกระแสไปถึงอกนิฏฐภูมิ
จึงจะถึงซึ่งปรินิพพาน
พระอรหันต์
หมายความว่า
เป็นบุคคลที่ควรสักการะบูชายิ่ง
บางทีก็เรียกว่า พระขีณาสพ
หมายความว่าเป็นบุคคลที่สิ้นอาสวกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้ว
บางทีก็เรียกว่า พระอเสกขบุคคล
ซึ่งหมายถึงว่าเป็นผู้ที่ไม่ต้องศึกษาปฏิบัติต่อไปอีกแล้ว
เพราะมี สีลสิกขา จิตตสิกขา
ปัญญาสิกขา
โดยบริบูรณ์บริสุทธิหมดจดแล้ว
พระอรหันต์นี้จัดได้ว่ามี ๓
ประเภท คือ
๑.
พระอรหันต์ที่ตรัสรู้
พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง
สามารถโปรดเวไนยสัตว์ให้พ้นทุกข์
คือให้ถึงอริยมัคคอริยผลได้ด้วย
เพราะทรงเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วย
อาสยานุสยญาณ
ญาณที่สามารถรู้อัธยาศัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
ประการหนึ่ง อินทริยปโรปริยัตติญาณ
ญาณที่รู้อินทรียของสัตว์ทั้งหลายว่ายิ่งหรือหย่อนเพียงใด
ประการหนึ่ง และ สัพพัญญุตญาณ
ญาณที่สามารถรอบรู้สิ้นซึ่งปวงสังขตะและอสังขตธรรม
อีกประการหนึ่ง จึงได้ชื่อว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า
คือที่ขนานพระนามกันว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒.
พระอรหันต์ที่ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเหมือนกัน
แต่ไม่สามารถโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้
เพราะไม่ถึงพร้อมด้วยญาณทั้ง ๓
ดังที่กล่าวแล้วในข้อ ๑
นั้นทั้งไม่รู้บัญญัติที่จะแสดงสภาวธรรมให้แจ่มแจ้งได้ด้วย
พระอรหันต์ประเภทนี้ ได้ชื่อว่า พระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งเรียกกันสั้น
ๆ ว่า
พระปัจเจกพุทธเจ้า
อยากจะกล่าวโดยอัตโนมัติว่า
ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่สามารถโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้นั้น
เป็นด้วยเหตุอีกประการหนึ่ง
คือในยุคนั้นไม่มีผู้มีบารมีแก่กล้าพอที่จะเข้าถึงธรรมอันประเสริฐชั้นนั้นได้
เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าบังเกิดมีได้เฉพาะในยุคที่ว่างพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ก็ในกาลที่ว่างพระพุทธศาสนาเช่นนั้น
บุคคลทั้งหลายย่อมปราศจากสีลธรรม
ประกอบแต่กรรมอันเป็นอกุสล
ใครเล่าจะสามารถสั่งสอนผู้ที่ไร้สีลธรรมให้บรรลุถึงธรรมอันประเสริฐยิ่งปานนั้นได้
แม้แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็ทรงพระมหากรุณาได้เฉพาะผู้ที่ทรงโปรดได้เท่านั้น
ไม่ใช่โปรดได้ทั่วไปทั้งหมด
๓.
พระอรหันต์ที่ตรัสรู้อรหัตตมัคคอรหัตตผล
ตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(คือไม่ได้ตรัสรู้เอง)
นั้นได้ชื่อว่า
พระอรหันต์
ได้แก่ พระอรหันต์ทั่ว ๆ ไป
ที่นอกจาก
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระอรหันตปัจเจกพุทธเจ้า
พระอรหันต์ทั่ว
ๆ ไปนี้ ยังจำแนกได้เป็น ๓ ประเภท
คือ อัคคสาวก มหาสาวก และปกติสาวก
ก.
อัคคสาวก
หมายถึง พระอรหันต์ ๒ องค์ คือ
พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
เป็นอัคคสาวกเบื้องขวา
ผู้ยิ่งด้วยปัญญาเป็นเลิศ
พระโมคคัลลานะ
เป็นอัคคสาวกเบื้องซ้าย
ผู้ยิ่งด้วยฤทธิเป็นยอด
ข.
มหาสาวก
หมายถึง พระอรหันต์ ๘๐ องค์ (นับอัคคสาวก
๒ องค์ รวมในจำนวน ๘๐ นี้ด้วย)
ซึ่งมีคุณธรรมเป็นยอดเยี่ยมเป็นเลิศ
คือ เป็นเอตทัคคะ
ในทางใดทางหนึ่ง
ค.
ปกติสาวก
หมายถึงพระอรหันต์สามัญที่นอกจากอัคคสาวกและมหาสาวก
แล้ว เรียกว่าเป็น ปกติสาวก
ทั้งสิ้น
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ