ปริจเฉทที่ ๙ กัมมัฏฐานสังคหวิภาค
หน้าที่
: 1 2
3 4 5 6 7
8 9 10 11 12
13 14 15 16 17
18 19 20 21 22
23 24 25
26 27 28 29 30 31 32
33 34 35 36 37 38 39
40 41 42 43 44 45 46
47 48 49 50
51 52 53 54 55 56 57
58 59 60 61 62 63 64
65 66 67 68 69 70 71
72 73 74 75
76 77 78 79 80 81
82 83 84 85 86 87 88 89
90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100
101 102 103 104 105 106 107 108
109 110 111 112 113 114 115 116 117
118 119 120 121 122
123 124 125 126 ค้นหาหัวข้อธรรม
![]()
พระอริยสุกขวิปัสสกเข้าผลสมาบัติ
ได้หรือไม่
ได้เกิดปัญหาว่า
ผู้ที่ได้มัคคผลคือพระอริยบุคคลนั้น
สามารถเข้าสมาบัติได้ทุกท่านหรือหาไม่
หรือว่าเข้าผลสมาบัติได้เฉพาะพระอริยบุคคลผู้ที่ได้ฌานด้วยเท่านั้น
การเข้าผลสมาบัตินั้นจะต้องเข้าด้วยกำลังของวิปัสสนาปัญญา
ลำพังแต่สมถะอย่างเดียวก็เข้าผลสมาบัติไม่ได้
เข้าได้แต่ฌานสมาบัติอย่างเดียวเท่านั้น
ฉะนั้นการเข้าผลสมาบัติ จึงต้องเป็นผู้ที่เคยได้ฌานมาแล้ว
และทั้งเป็นผู้ที่เคยได้วสีมาแล้วในการเข้าฌานสมาบัติ
แล้วมาเจริญวิปัสสนาได้สำเร็จมัคคผล
ซึ่งเรียกว่าโลกุตตรธรรมนั้น
แล้วจึงเข้าสมาบัติด้วยผลจิตได้
แม้จะถือหลักว่า
พระอริยผู้นั้นจะต้องเคยได้ฌานมาแล้ว
เป็นประการสำคัญ
จึงจะเข้าผลสมาบัติได้ก็ดี
ก็คงเห็นว่า
ลงได้เป็นพระอริยแล้ว
ก็เข้าผลสมาบัติได้ทั้งนั้น
เพราะแม้ว่าพระอริยผู้นั้นจะไม่ได้เจริญสมถภาวนามาก่อน
ไม่เคยได้ฌานมาก่อนก็ตามที
แต่เมื่อเจริญวิปัสสนาภาวนาจนถึงมัคคญาณ
มัคคจิตนั้นต้องประกอบด้วยองค์ทั้ง
๕
ซึ่งเป็นองค์ของปฐมฌานโดยบริบูรณ์อย่างพร้อมมูลเสมอไป
เหตุนี้โลกุตตรจิต
จึงย่อมประกอบด้วยปฐมฌานอย่างแน่นอน
ดังมีหลักฐานใน อัฏฐสาลิ
นีอรรถกถา
ซึ่งได้อ้างมาข้างต้นครั้งหนึ่งแล้วว่า
วิปสฺสนานิยาเมน
สุกฺขวิปสฺสกสฺส
อุปฺปนฺนมคฺโคปิ ปฐมชฺฌานิโก โหติ ฯ
ตามธรรมเนียมของวิปัสสนา
มีหลักอยู่ว่า
มัคคที่เกิดขึ้นแก่ท่านที่เจริญวิปัสสนาล้วน
ๆ ก็ย่อมประกอบด้วยปฐมฌานฯ
อนึ่งตามนัยแห่งอริยสัจจ
๔
ตอนที่แสดงมัคคอริยสัจจก็กล่าวไว้ว่า
อริยมัคคนั้นเป็นสมถะด้วยเป็นวิปัสสนาด้วย
คือ สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะ
๒ องค์นี้ สงเคราะห์ด้วยวิปัสสนา
ยาน(พาหนะ)เครื่องนำไปคือวิปัสสนาที่เหลืออีก
๖ องค์ อันได้แก่ สัมมาวาจา
สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สัมมาวายามะ สัมมาสติ
และสัมมาสมาธิ
นั้นสงเคราะห์ด้วยสมถะ ยาน(พาหนะ)เครื่องนำไปคือสมถะ
พระอริยสาวกท่านเว้นส่วน ๒ คือ เว้นกามสุขัลลิกานุโยค
ด้วยวิปัสสนายาน และเว้นอัตตกิลมถานุโยค
ด้วยสมถยาน ดำเนินไปไต่ไปยัง มัชฌิมาปฏิปทา
คือ ทางสายกลาง
ทำลายกองโมหะด้วยปัญญาขันธ์
ทำลายกองโทสะด้วยสีลขันธ์
ทำลายกองโลภะด้วยสมาธิขันธ์
ถึงปัญญาสัมปทาด้วยอธิปัญญาสิกขา
ถึงสีลสัมปทาด้วยอธิสีลสิกขา
ถึงสมาธิสัมปทาด้วยอธิจิตตสิกขา
ทันทีที่ถึงพร้อมด้วยสิกขา ๓
นี้ก็แจ้งซึ่งพระนิพพาน
มีความดั่งนี้
ก็เป็นข้อสนับสนุนว่า
โลกุตตรจิตนั้น
ย่อมได้ฌานด้วยอำนาจแห่งมัคค
ซึ่งมีชื่อว่า มัคคสิทธิฌาน
สมตามนัยแห่งพระอภิธรรมที่แสดงว่า
โลกุตตรจิตอย่างพิสดาร มีจำนวน
๔๐ ดวง
โดยนับโลกุตตรจิตของสุกขวิปัสสกอริยบุคคลนั้นเป็นปฐมฌานด้วย
ถ้าหากไม่นับโลกุตตรจิตของสุกขวิปัสสกอริยบุคคลเป็นปฐมฌานด้วยแล้ว
โลกุตตรจิตอย่างพิสดารก็จะต้องเป็น
๔๘ ดวง คือ
โลกุตตรจิต ที่ไม่
ประกอบด้วยฌานเลย ๘
ดวง
โลกุตตรจิต ที่ประกอบด้วย
ปฐมฌาน
๘
ดวง
โลกุตตรจิต ที่ประกอบด้วย
ทุติยฌาน
๘
ดวง
โลกุตตรจิต ที่ประกอบด้วย
ตติยฌาน
๘
ดวง
โลกุตตรจิต ที่ประกอบด้วย
จตุตถฌาน ๘
ดวง
โลกุตตรจิต ที่ประกอบด้วย
ปัญจมฌาน ๘
ดวง
อีกประการหนึ่ง
ยังไม่เคยพบหลักฐานที่อื่นอีกว่า
ได้มีการกล่าวอ้างไว้ ณ ที่ใดว่า
การเข้าผลสมาบัติจะต้องอาศัยอำนาจแห่งฌานจิตประกอบด้วย
ไม่เหมือนกับการเข้านิโรธสมาบัติ
ซึ่งได้กล่าวไว้โดยแน่ชัดว่า
ต้องมีสมถพละและวิปัสสนาพละ คือ
มีสมาธิและปัญญาเป็นกำลังชำนาญ
ชำนาญในโสฬสญาณ(คือญาณทั้ง
๑๖) ชำนาญในฌานสมาบัติ
๘ (คือทั้งรูปฌานและอรูปฌาน)
มาก่อน
ถ้าการเข้าผลสมาบัติจำต้องเป็นผู้ได้ฌานมาก่อนด้วย
ก็น่าจะมีการกล่าวไว้โดยชัดแจ้ง
เพราะคำสอนในพระพุทธศาสนาย่อมกล่าวอย่างชัดเจนเสมอ
เช่น
วิสํ
ชีวิตุกาโม ปาปานิ ปริวชฺชเย
บุคคลพึงเว้นบาปทั้งหลาย
เหมือนคน ที่ต้องการเป็นอยู่
เว้นยาพิษ
และในทุกมาติกาก็กล่าวว่า
วิชฺชูปมทุเก
ตาว จกฺขุมา กิร ปุริโส
เมฆนฺธกาเร รตฺตํ มคฺคํ ปฏิปชฺชิ
ตสฺส อนฺธการตาย มคฺโค น ปญฺญายติ
วิชฺชุ นิจฺฉริตฺตวา อนฺธการํ
วิทฺธํเสติ อทสฺสํ อนฺธการวิคมา
มคฺโค ปากโฏ อโหสิ
พึงอธิบายใน วิชชูปมาทุก
ก่อน สมมติว่า
บุรุษมีจักขุเป็นปกติเดินทางกลางคืน
ที่มีเมฆบังมืด
เพราะความมืด
หนทางย่อมไม่ปรากฏแก่เขา
สายฟ้าแลบออกกำจัดความมืด
เพราะความมืดหายไปในขณะนั้น
หนทางได้ปรากฏแล้วแก่เขา
๓.
เข้านิโรธสมาบัติ
คือ
ดับจิตเจตสิกได้
เป็นการเข้าสู่ความดับสนิทแห่งนามขันธ์
มีสัญญาและเวทนา เป็นต้น
โดยปราศจากอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น
และอยู่ได้ถึง ๗ วัน
ด้วยความปรารถนาที่จะหนีจากทุกขรูปทุกขนาม
ในเมื่อยังไม่เข้าสู่ปรินิพพาน
ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติได้
ต้องเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม
ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(๑)
ต้องเป็นพระอนาคามี
หรือพระอรหันต์
(๒)
ต้องได้ฌานสมาบัติครบถ้วน
คือได้รูปฌาน และอรูปฌาน
ด้วยทุกฌาน
(๓)
ต้องมีวสี
ชำนาญคล่องแคล่วในสัมปทา คือ
ความถึงพร้อม ๔ ประการ ได้แก่
ก.
มี
สมถพละ และวิปัสสนาพละ คือ
มีสมาธิ และปัญญา
เป็นกำลังชำนาญทั้ง ๒ อย่าง
ข.
ชำนาญในการระงับ
กายสังขาร (คือลมหายใจเข้าและออก)
ชำนาญในการระงับ
วจีสังขาร (คือ
วิตก วิจาร ที่ปรุงแต่งวาจา)
ชำนาญในการระงับ
จิตตสังขาร (คือ
สัญญา และเวทนาที่ทำให้
เจตนาปรุงแต่งจิต)
ค.
ชำนาญใน
โสฬสญาณ
ง.
ชำนาญใน
ฌานสมาบัติ
(๔)
ต้องเป็นบุคคลในภูมิที่มีขันธ์
๕ (คือปัญจโวการภูมิ)
เพราะในอรูปภูมิเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้
ด้วยเหตุว่าไม่มีรูปฌาน
ดังนี้จะเห็นได้ว่า
การเข้านิโรธสมาบัติ
จำต้องใช้กำลังทั้ง ๒ ประการ คือ กำลังสมถภาวนา
ต้องถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
และกำลังวิปัสสนา
ก็ต้องถึงตติยมัคค เป็นอย่างต่ำ
กล่าวคือต้องใช้ทั้งกำลังสมาธิ
และกำลังปัญญาควบคู่กันด้วย
๔.
เป็นผู้ที่ควรแก่การต้อนรับบูชา
เพราะเป็นผู้ที่มีความพากเพียรเป็นอย่างยิ่งในการเจริญวิปัสสนา
จนได้บรรลุ มัคค ผล นิพพาน
อันเป็นการปฏิบัติธรรมที่ประเสริฐสุดยอดแล้ว
เป็นพระอริยบุคคล
เป็นพระอริยสงฆเจ้าที่สมบูรณ์ด้วยสังฆคุณ
๙ ประการ มีสุปฏิปันโน เป็นต้น
จึงเป็นผู้ที่ควรต้อนรับ
ควรสักการะควรบูชาโดยแท้
สังฆคุณ
๙ มีรายละเอียดข้างต้นตรง
สังฆานุสสติ
๓๘.
สมาสโต
วิปสฺสนา กมฺมฏฺฐานนโย อยํ ฯ
นี่คือ
นัยแห่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน
อันแสดงแล้วโดยย่อ
วิปัสสนากัมมัฏฐาน
ตามนัยแห่ง พระอภิธัมมัตถสังคหะ
ที่พระอนุรุทธาจารย์ได้รจนาไว้โดยย่อนั้น
มีเพียงเท่านี้
๓๙.
ภาเวตพฺพํ
ปนิจฺเจวํ ภาวนา ทฺวยมุตฺตมํ
ปฏิปตฺติ รสสฺสาทํ ปตฺถยนฺเตน
สาสเน ฯ
ก็ผู้ปรารถนายินดีในรสแห่งการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
จึงเจริญภาวนาทั้ง ๒ อย่าง
อันอุดม
มีนัยดังบรรยายมาด้วยประการ
ฉะนี้แล
ภาวนาทั้ง
๒ อย่างอันอุดม คือ
๑.
สมถภาวนา
เป็นการทำให้เกิดขึ้นให้มีขึ้นและให้เจริญยิ่งขึ้นด้วย
ซึ่งความสงบระงับจากกิเลส
สมถภาวนามีสมถกัมมัฏฐาน คือ
บัญญัติเป็นต้น
อันเป็นที่ตั้งแห่งการงานทางใจเป็นสิ่งสำหรับเพ่งพินิจ
เพื่อให้เกิดความสงบ
๒.
วิปัสสนาภาวนา
เป็นการทำให้เกิดขึ้นให้มีขึ้นและให้เจริญยิ่งขึ้นด้วยปัญญา
ให้พ้นจากกิเลสโดยเด็ดขาด
วิปัสสนาภาวนามีวิปัสสนากัมมัฏฐาน
คือ รูปนาม
เป็นสิ่งสำหรับพิจารณาให้เกิดปัญญา
ความปรารถนาและความยินดีในรสแห่งการปฏิบัติกัมมัฏฐานก็ดี
การเจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุมัคคผลก็ดี
ย่อมมี บารมี
เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด
ในอันที่จะให้เป็นไปเช่นนั้น
เหตุนี้จึงเห็นเป็นการสมควรที่จะได้ทราบเรื่อง
บารมีไว้บ้าง
แม้แต่จะเป็นเพียงโดยย่อ
ดังต่อไปนี้
![]()
จัดทำโดย มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ
![]()